วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เทควันโด 1
วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555
กีฬาต่างๆ: เทนนิส (อังกฤษ: Tennis)
กีฬาต่างๆ: เทนนิส (อังกฤษ: Tennis): มารู้จักกีฬาเทนนิสกัน เทนนิส (อังกฤษ: Tennis) เป็นกีฬาที่เล่นในร่มหรือกลางแจ้งโดยมีผู้เล่น 2 คนในประเภทเดี่ยว และ 4 คนในประเภทคู่ ใช้ไม้...
เทนนิส (อังกฤษ: Tennis)
เทนนิส (อังกฤษ: Tennis) เป็นกีฬาที่เล่นในร่มหรือกลางแจ้งโดยมีผู้เล่น 2 คนในประเภทเดี่ยว และ 4 คนในประเภทคู่ ใช้ไม้เทนนิสตีส่งลูกไปมาเหนือตาข่ายภายในเขตที่กำหนด โดยพยายามไม่ให้คู่ต่อสู้รับลูกได้ เทนนิสเป็นเกมกีฬาชนิดหนึ่งซึ่งใช้ไม้แร็กเก็ต เป็นการแข่งขันระหว่างผู้เล่นสองคน(Singles) หรือระหว่างผู้เล่นสองคู่(Doubles) กีฬาเทนนิสถือกำเนิดในยุโรปช่วงปลายศตวรรษที่19 ช่วงแรกๆนั้นเทนนิสได้แพร่ขยายไปยังกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูง แท้จริงแล้วเทนนิสเป็นกีฬาสากลและเป็นเกมที่เล่นกันเกือบทุกประเทศทั่วโลก ตั้งแต่ปีค.ศ.1926 ซึ่งมีการจัดTournamentครั้งแรก เทนนิสจึงได้กลายเป็นกีฬาอาชีพ เทนนิสได้ถูกบรรจุในกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงโซล ปีค.ศ.1988 การแข่งขันจะแบ่งออกเป็นเซต แต่ละเซตแบ่งเป็นเกม แต่ละเกมเริ่มต้นด้วยคะแนน 0 ต่อ 0 การนับคะแนนเริ่มจาก 0-15 หรือ 15-0 โดยขานคะแนนของฝ่ายส่งลูกก่อน ตามด้วย 30 และ 40 ถ้าคะแนนเสมอกัน 40-40 เรียกว่า "ดิวซ์" (deuce) หากใครทำคะแนนสองแต้มติดต่อกันจะเป็นผู้ชนะในเกมนั้น และใครได้ 6 เกมก่อนจะเป็นผู้ชนะในเซต หากเสมอกัน 6-6 เกม ต้องแข่งขันกันในไทเบรก (tie-break) นับแต้ม 1, 2, 3, ... ใครได้ 7 แต้มก่อนเป็นฝ่ายชนะในเซตนั้น ถ้าเป็นการแข่งขันในทัวนาร์เมนต์ทั่วไปจะแข่งกันเพื่อหาผู้ชนะใน 3 เซต ใครได้ 2 เซตก่อนเป็นฝ่ายชนะ แต่ถ้าเป็นแกรนด์สแลมจะแข่งกันเพื่อหาผู้ชนะใน 5 เซต ใครได้ 7 แต้มก่อนเป็นฝ่ายชนะในเซตนั้น กรณีที่แต้มเท่ากัน 6-6 หรือ 7-7 ผู้ชนะจะต้องมีแต้มห่างจากคู่แข่งขัน 2 แต้มจึงจะถือว่าจบการแข่งขัน Tie Break เช่น กรณีแต้มเท่ากันที่ 7-7 ผู้ชนะต้องได้คะแนนห่างจากคู่แข่งขัน 2 แต้ม คือต้องได้ 9-7 จึงจะเป็นฝ่ายชนะ ในประเภทคู่ ถ้าได้คู่ละเซตแล้ว ต้องตัดสินด้วย Super Tiebreak ใครถึง 10 คะแนนก่อนถือว่าเป็นฝ่ายชนะ
เป็นกีฬาต้องอาศัยความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างสูง เพราะว่าต้องใช้กำลังแขน มากกว่าบาสหรือแฮนด์บอลซะอีก เพราะต้องใส่แรงเต้มทีทุกครั้งที่หวดลูก
ไม่เหมือนบาสและแฮนด์บอลที่ยังหยอดลูกหรือกะแรงได้แต่ไม่ใช่เทนนิสที่หากคิดจะหยอดลูกก็เท่ากับจะหาเรื่องให้ตัวเองแพ้
กีฬาเทนนิสเป็นกีฬาที่เล่นได้ทุกเพศแต่ไม่ทุกวัย เด็กที่มีอายุต่ำกว่า10ปีไม่ควรเล่น เพราะกล้ามเนื้ออาจชีกได้
สนามเทนนิสเป็นคอร์ทที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นผิว เรียบ โดยปกติจะเป็นพื้นหญ้า (grass),ดิน (clay) และ คอนกรีต (concrete) คอร์ทมาตรฐานจะมีความ ยาวโดยรอบคือ 78 ฟุต (23.77 เมตร) กว้าง 27 ฟุต (8.23 เมตร) สำหรับสนามเทนนิสเป็นคอร์ทที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า พื้นผิว เรียบ โดยปกติจะเป็นพื้นหญ้า (grass),ดิน (clay) และ คอนกรีต (concrete) คอร์ทมาตรฐานจะมีความ ยาวโดยรอบคือ 78 ฟุต (23.77 เมตร) กว้าง 27 ฟุต (8.23 เมตร) สำหรับประเภทเดี่ยว และ กว้าง 36 feet (10.97 m.) สำหรับประเภทคู่ เน็ตมีความสูง 3 feet 6 inch (1.07 m.) จากด้านข้าง และ สูง 3 feet (914 m.) บริเวณตรงกลางคอร์ท โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งเป็น3 คอร์ทหลักๆด้วยกันขึ้นอยู่กับวัตถุที่ใช้ทำพื้นผิวคอร์ท ซึ่งแต่ละพื้นผิวคอร์ทจะมีความเร็วและการเด้งของลูก เทนนิสที่ต่างกัน โดยชนิดของคอร์ททั่วไปที่ใช้สำหรับเล่นมีดังนี้
CM Sports Pro รับออกแบบติดตั้ง พื้นสนามเทนนิสใน 3 ระบบ ซึ่งนำเข้าวัสดุ และเทคโนโลยีจาก อิตาลีประเภทเดี่ยว และ กว้าง 36 feet (10.97 m.) สำหรับประเภทคู่ เน็ตมีความสูง 3 feet 6 inch (1.07 m.) จากด้านข้าง และ สูง 3 feet (914 m.) บริเวณตรงกลางคอร์ท โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งเป็น3 คอร์ทหลักๆด้วยกันขึ้นอยู่กับวัตถุที่ใช้ทำพื้นผิวคอร์ท ซึ่งแต่ละพื้นผิวคอร์ทจะมีความเร็วและการเด้งของลูก เทนนิสที่ต่างกัน โดยชนิดของคอร์ททั่วไปที่ใช้สำหรับเล่นมีดังนี้
CM Sports Pro รับออกแบบติดตั้ง พื้นสนามเทนนิสใน 3 ระบบ ซึ่งนำเข้าวั
สดุ และมาตรฐานของลูกเทนนิสตามกติกาเทนนิส (มาตรฐาน International Tennis Federation)
1. ผิวนอกของลูกเทนนิสต้องมีสีขาวหรือสีเหลืองและกลมเรียบเสมอกันทั้งลูก ถ้ามีรอยต่อจะต้องไม่เป็นตะเข็บ 2. เส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 6.35 - 6.67 เซนติเมตร (2 ½- 2 ⅝ นิ้ว) 3. น้ำหนักอยู่ในช่วง 56.7 - 58.5 กรัม (2 - 21/16 ออนซ์) 4. การกระดอนของลูกเมื่อทิ้งลงจากที่สูง 254 เซนติเมตร (100 นิ้ว) บนพื้นคอนกรีตจะต้องกระดอนอยู่ในช่วง 135 - 147 เซนติเมตร (53 – 58 นิ้ว) 5. เมื่อกดปลายทั้งสองข้างของเส้นผ่าศูนย์กลางของลูกด้วยกำลัง 8.165 กิโลกรัม (18 ปอนด์) ผิวของลูกเทนนิสจะยุบตัวเข้าไปประมาณ 0.56 - 0.75 เซนติเมตร (0.022 - 0.290 นิ้ว) 6. เมื่อกดให้ยุบตัว 2.54 เซนติเมตร (1 นิ้ว) ปล่อยให้คืนตัว แล้ววัดระยะที่ยุบตัวต้องอยู่ระหว่าง 0.89 – 1.08 เซนติเมตร (0.350 - 0.425 นิ้ว) ตัวเลขเหล่านี้คิดเฉลี่ยจากการกดลูกในแนวแกนทั้งสามของลูก และค่าที่ได้จากการกดในระหว่างแกนที่ต่างกันคู่หนึ่งต้องไม่ต่างกันมากกว่า 0.08 เซนติเมตร (0.030 นิ้ว) |
วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ฮอกกี้
ฮอกกี้ (อังกฤษ: Hockey) เป็นกีฬาแข่งขันกันระหว่าง 2 ทีม มีผู้เล่นฝ่ายละ 11 คน โดยการตีลูกบอล ที่มีลักษณะกลม แข็ง ที่เรียกว่า ลูกพัค (puck) ให้เข้าโกลด์ตะข่ายของฝั่งตรงกันข้าม โดยจะให้ลูกบอลถูกส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายไม่ได้ เว้นผู้รักษาประตูที่มีสิทธิใช้เท้าเตะและมือปัดลูกบอลได้แต่ก็เฉพาะในเขตที่ยิงประตูเท่านั้น การยิงประตูที่ถือว่าได้ประตูต้องเป็นการยิงจากภายในเขตประตู คือภายในเขต 16 หลา โดยมีเส้นโค้งเป็นเครื่องหมาย เรียกกันเป็นที่เข้าใจว่าหัวกะโหลก คือจะต้องพาลูกเข้าไปยิงประตูภายในหัวกะโหลกนั้น
ประวัติ
ฮอกกี้เป็นกีฬาเก่าแก่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน แต่ไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่ากีฬาประเภทนี้เริ่มมาจากประเทศใดก่อน มีหลักฐานภาพวาดอียิปต์โบราณเก่าแก่ 4000 ปีที่มีลักษณะคล้ายกีฬาฮอกกี้ และอีกหลักฐานประมาณ 44 ปี ก่อนคริสต์ศักราช พบหลักฐานโดยชาวกรีกโรมัน สมัยโบราณได้เล่นกีฬานี้กันอยู่แล้ว อุปกรณ์การเล่นและวิธีเล่นคล้ายคลึงกับการเล่นฮอกกี้ในสมัยปัจจุบัน แต่แตกต่างกันที่ไม้ตีฮอกกี้สมัยกรีกและโรมันจะสั้นกว่าในปัจจุบัน ลูกบอลสมัยนั้นทำด้วยหนัง ภายในอัดด้วยขนสัตว์
ต่อมากีฬาฮอกกี้ได้แพร่หลายเข้าไปในประเทศอังกฤษ ช่วงแรกได้เข้าสู่โรงเรียนประถม และเริ่มมีการเปิดคลับแรกในปี พ.ศ. 2392 ที่ Blackheath ใน south-east ลอนดอน และมีประชาชนสนใจอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 19
การเล่นฮอกกี้สมัยปัจจุบันมีอยู่ 2 ชนิดคือ ฮอกกี้ที่เล่นกันบนสนามหญ้าและฮอกกี้ที่เล่นกันบนลานน้ำแข็ง (Indoor Hockey หรือ Shake Hockey หรือ Ice Hockey) ต่อมาในประเทศอังกฤษ ประมาณปี พ.ศ. 2428 ได้จัดให้มีการแข่งขันประเภทหญิงขึ้นระหว่างมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดกับเคมบริดจ์ในปี พ.ศ. 2444 กีฬาฮอกกี้ได้แพร่เข้าไปในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสุภาพสตรีชาวอังกฤษชื่อ Constance Applebee โดยได้ให้คำแนะนำในการเล่นระหว่างปิดภาคฤดูร้อนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และหลังจากนั้นมาฮอกกี้จึงเป็นที่นิยมในหมู่สุภาพสตรีเป็นอย่างมาก
ต่อมาในปี พ.ศ. 2465 ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ก่อตั้งสมาคมขึ้นโดยใช้ชื่อว่าสมาคมฮอกกี้แห่งสหรัฐอเมริกา และได้มีการปรับปรุงพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าขึ้นจนถึงระดับชาติ ในช่วงแรกได้รับความนิยมเล่นเฉพาะในหมู่สตรีเท่านั้น ต่อมาเมื่อกีฬาประเภทนี้ได้บรรจุไว้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกซึ่งมีการแข่งขันเฉพาะชายเท่านั้น
ในสหรัฐอเมริกามีการก่อตั้งสมาพันธ์กีฬาฮอกกี้หญิงระหว่างประเทศขึ้นในปี พ.ศ. 2475 และได้จัดให้มีการแข่งขันทุกๆ 3 ปี โดยสหรัฐอเมริกาได้ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 เป็นต้นมา และสหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งสมาคมฮอกกี้ชายขึ้นในเวลาต่อมา
ฮอกกี้เป็นกีฬาที่เร็วเป็นอันดับหนึ่งของโลก และ เป็นกีฬาที่อันตรายเป็นอันดับสี่ของโลก
ประมาณ ปี 1875 เกมที่คล้ายกับโมเดลฮอกกี้ ได้เริ่มเล่นในประเทศอังกฤษ แต่ไม่นับว่าได้ประตู ถ้าหากเขาถูกลูกจากระยะมากกว่า 15 หลา ซึ่งเป็นส่วนที่ใกล้ประตูที่สุดแต่ผู้เล่นก็ไม่ต้องเป็นกังวลที่จะตั้งรับคู่ต่อสู้นอกครึ่งวงกลม สโมสรที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้นก็คือ Wimbledon club เมื่อปี 1883 สมาชิกของเขาได้ใช้เชือกพันไม้แอช (Ash) ให้กลมเป็นลูกบอล
ต่อมาก็มีสมาคม หรือ สโมสรต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ในเขตลอนดอน เกมนี้จึงได้ขยายไปครึ่งเมืองตะวันตก และทางเหนือของประเทศอังกฤษ นับแต่นั้นมาก็ได้จัดวันสำคัญของสมาคมฮอกกี้เรียกว่า bridle-day อย่างก็ตาม เมื่อวันที่ 18 มกราคม 1886 เป็นวันตั้งระเบียบฮอกกี้ขึ้น และก็ยอมรับเขตยิ่งประตู เมื่อปี 1895 การแข่งขันระดับชาติเป็นครั้งแรกก็ได้จัดขึ้นระหว่าง อังกฤษ กับ ไอร์แลนด์ ผลอังกฤษชนะ 5 – 0 ต่อมาประมาณปี 1900 คณะกรรมการระหว่างชาติก็ได้ปรับปรุงกติกา ซึ่งเป็นที่ตระหนักดีว่า กรุงเหล่านี้จะคุ้มครองแคว้น ไอร์แลนด์ เวลส์และอังกฤษ ซึ่งเป็นตัวแทนให้เป็นสมาชิกถาวร ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นสภากรรมการฮอกกี้ระหว่างชาติ และเกมนี้ก็ได้แผ่ขยายออกมีสมาชิกเพิ่มขึ้นคือ สก๊อตแลนด์ ในปี 1902 และขยายตัวออกอย่างรวดเร็วตลอด British Isles จนกระทั่งมีสโมสรทั้งหมดประมาณ 100 แห่ง รวมทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งก็มีบัตรประจำทีมของเขา
ต่อมาก็มีสมาคม หรือ สโมสรต่าง ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ในเขตลอนดอน เกมนี้จึงได้ขยายไปครึ่งเมืองตะวันตก และทางเหนือของประเทศอังกฤษ นับแต่นั้นมาก็ได้จัดวันสำคัญของสมาคมฮอกกี้เรียกว่า bridle-day อย่างก็ตาม เมื่อวันที่ 18 มกราคม 1886 เป็นวันตั้งระเบียบฮอกกี้ขึ้น และก็ยอมรับเขตยิ่งประตู เมื่อปี 1895 การแข่งขันระดับชาติเป็นครั้งแรกก็ได้จัดขึ้นระหว่าง อังกฤษ กับ ไอร์แลนด์ ผลอังกฤษชนะ 5 – 0 ต่อมาประมาณปี 1900 คณะกรรมการระหว่างชาติก็ได้ปรับปรุงกติกา ซึ่งเป็นที่ตระหนักดีว่า กรุงเหล่านี้จะคุ้มครองแคว้น ไอร์แลนด์ เวลส์และอังกฤษ ซึ่งเป็นตัวแทนให้เป็นสมาชิกถาวร ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นสภากรรมการฮอกกี้ระหว่างชาติ และเกมนี้ก็ได้แผ่ขยายออกมีสมาชิกเพิ่มขึ้นคือ สก๊อตแลนด์ ในปี 1902 และขยายตัวออกอย่างรวดเร็วตลอด British Isles จนกระทั่งมีสโมสรทั้งหมดประมาณ 100 แห่ง รวมทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งก็มีบัตรประจำทีมของเขา
ฮอกกี้เป็นเกมที่เล่นบนสนามหญ้าเรียบ และสนามต้องเป็นพื้นหญ้าที่แข็ง ซึ่งมีผู้เล่นฝ่ายละ 11 คน โดยการใช้ไม้งอ ๆ คล้ายกับตะขอตีบอลไปยังประตูฝ่ายตรงข้าม พิลฮอกกี้มีความแตกต่างไปจากฮอกกี้น้ำแข็ง
กล่าวคือ เป็นเกมที่เล่นด้วยไม้ซึ่งชาว Persians โบราณได้เป็นผู้คิดค้นขึ้น แล้วได้นำมาเล่นในกรุงโรม ซึ่งจะเห็นได้ที่เอเธนส์ ในปี 19- - เหตุอันนี้เขาเชื่อแน่ว่าเกมที่ใช้ไม้ตีมาจากตะวันออก ซึ่งนาย The mistocle ได้พบรูปแกะสลักบนฝาผนัง เมื่อปี 515 – 449 B.C. ซึ่งเขาได้บรรยายไว้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ ซึ่งคล้ายคลึงกับเกมส์ปัจจุบันมาก
กล่าวคือ เป็นเกมที่เล่นด้วยไม้ซึ่งชาว Persians โบราณได้เป็นผู้คิดค้นขึ้น แล้วได้นำมาเล่นในกรุงโรม ซึ่งจะเห็นได้ที่เอเธนส์ ในปี 19- - เหตุอันนี้เขาเชื่อแน่ว่าเกมที่ใช้ไม้ตีมาจากตะวันออก ซึ่งนาย The mistocle ได้พบรูปแกะสลักบนฝาผนัง เมื่อปี 515 – 449 B.C. ซึ่งเขาได้บรรยายไว้เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ ซึ่งคล้ายคลึงกับเกมส์ปัจจุบันมาก
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ประวัติกีฬาฟุตบอล
ประวัติกีฬาฟุตบอล![]() มากที่สุดในโลก ชนชาติใดเป็นผู้กำเนิดกีฬาชนิดนี้อย่างแท้จริงนั้นไม่อาจจะยืนยันได้แน่นอน เพราะแต่ละชนชาติต่างยืนยันว่าเกิดจากประเทศของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ได้มีการละเล่นชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ซูเลอ" (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลักษณะการเล่นที่คล้ายคลึงกับกีฬาฟุตบอลในปัจจุบัน ทั้งสองประเทศอาจจะถกเถียงกันว่า กีฬาฟุตบอลถือกำเนิดจากประเทศของตน อันเป็นการหาข้อยุติไม่ได้ เพราะขาดหลักฐานยืนยันอย่างแท้จริง ดังนั้น ประวัติของกีฬาฟุตบอลที่มีหลักฐานที่แท้จริงสามารถจะอ้างอิงได้ เพราะการเล่นที่ม ีกติการการแข่งขันที่แน่นอน คือประเทศอังกฤษเพราะประเทศอังกฤษตั้งสมาคมฟุตบอล ในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพของอังกฤษเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2431
วิวัฒนาการด้านฟุตบอลจะเป็นไปพร้อมกับความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์ตลอดมา ต้นกำเนิดกีฬาตะวันออกไกลจะได้รับอิทธิพลมาจากสงครามครั้งสำคัญๆ เช่น
สงครามพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ได้นำเอา "แกลโล-โรมัน" (Gello-Roman) พร้อมกีฬาต่างๆ เข้ามาสู่เมืองกอล (Gaul) อันเป็นรากฐานส่วนหนึ่งของกีฬาฟุตบอลในอนาคต และการเล่นฮาร์ปาสตัม (Harpastum) ได้ถูกดัดแปลงมาเป็นกีฬาซูเลอ วิวัฒนาการของฟุตบอล ภาคตะวันออกไกล
ขงจื้อได้กล่าวไว้ในหนังสือ "กังฟู" เกี่ยวกับกีฬา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาที่ใช้เท้า
และศีรษะในสมัยจักรพรรดิ์ เซิงติ (Emperor Cneng Ti) (ปี 32 ก่อนคริสตกาล) มีการเล่นกีฬาที่คล้ายกับฟุตบอลซึ่งเรียกว่า"ซือ-ซู" (Tsu-Chu) ซึ่งหมายถึงการเตะลูกหนังด้วยเท้า กีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ซึ่งนักประพันธ์และนักประวัติศาสตร์ในสมัยนั้นได้ยกย่อง ผู้เล่นที่มีชื่อเสียงให้เป็นวีรบุรุษของชาติ และในสมัยเดียวกันได้มีการเล่นคล้ายฟุตบอลใน ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย ภาคตะวันออกกลาง
ในกรุงโรม ความเจริญของตะวันออกไกลได้แผ่ขยายถึงตะวันออกกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอิทธิพลของสงคราม
โดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช การเล่นกีฬาชนิดหนึ่งเรียกว่า ฮาร์ปาสตัม เป็นกีฬาที่นิยมของชาวโรมัน และชาวกรีกโบราณวิธีการเล่นคือ มีประตูคนละข้าง แล้วเตะลูกบอลไปยังจุดหมายที่ต้องการ เช่น จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง การเล่นจะเป็นการเตะ หรือการขว้างไปข้างหน้าฮาร์ปาสตัม หมายถึงการเหวี่ยงไปข้างหน้า การเล่นกีฬาฮาร์ปาสตัมในกรุงโรมดูเหมือนจะเป็นต้นกำเนิด ของกีฬาซึ่งมีการเล่นในสมัยกลาง
ในการเล่นฮาร์ปาสตัม ขนาดของสนามจะเล็กกว่าสนามกีฬาซูเลอ แต่จุดประสงค์ของกีฬาทั้งสอง
คือ การนำลูกบอล ไปยังแดนของตน แต่เนื่องจากมีเสียงอึกทึกโครมครามจากการวิ่งแย่งลูกบอล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้มากมาย อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า จึงมีพระบรมราชโองการในนาม ของพระเจ้าแผ่นดินห้ามเล่นกีฬาดังกล่าวในเมือง ผู้ฝ่าฝืนมีโทษถึงจำคุก นอกจากนี้ยังมีข้อห้าม ซึ่งออกในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ.1892 ขอให้เล่นยิงธนูในวันฉลองต่าง ๆ แทนการเล่นเกมฟุตบอล
ในโอกาสต่อมากีฬาฟุตบอลได้จัดให้มีการแข่งขันกันอีกครั้ง ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างทีมต่างๆ
ที่อยู่ห่างกันประมาณ 3-4 ไมล์ ( 5-6.5 กิโลเมตร- )
ในปี พ.ศ. 2344 กีฬาชนิดนี้ได้ขัดเกลาให้ดีขึ้น มีการกำหนดจำนวนผู้เล่นให้เท่ากันในแต่ละข้าง
ขนาดของสนามอยู่ในระหว่าง 80 - 100 หลา (73-91 เมตร) และมีประตูทั้งสองข้างที่ริมสุดของสนาม ซึ่งทำด้วยไม้ 2 อัน ห่างกัน 2-3 ฟุต
ในปี พ.ศ. 2366 ได้จัดให้มีการเล่นฟุตบอลในรูปแบบของการเล่นใน ปัจจุบัน William Alice
คือผู้เริ่มวางกฎบังคับต่างๆ สำหรับกีฬาฟุตบอลและรักบี้ ในปี พ.ศ. 2393 ได้มีการออกระเบียบ และกฎของการเล่นไปสู่ ดินแดนต่างๆ ให้ปฏิบัติตาม โดยจำกัดจำนวนผู้เล่นให้มีข้างละ 15-20 คน
ในปี พ.ศ. 2413 มีการกำหนดผู้เล่นให้เหลือข้างละ 11 คน โดยมีผู้เล่นกองหน้า 9 คน และผู้เล่น
รักษาประตู 2 คน โดยผู้รักษาประตูใช้เท้าเล่นเหมือน 9 คนแรกจนกระทั่งให้เหลือผู้รักษาประตู 1 คน แต่อนุญาตให้ใช้มือจับลูกบอลได้ในปี พ.ศ. 2423
ในปี พ.ศ. 2400 สโมสรฟุตบอลได้ก่อตั้งเป็นครั้งแรกที่เมืองเซนพัสด์ประเทศอังกฤษ
และต่อมาในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2406 สโมสรฟุตบอล 11 แห่งได้มารวมกันที่กรุงลอนดอน เพื่อก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้น ซึ่งถือเป็นรากฐานในการกำเนิดสมาคมแห่งชาติ จนถึง 140 สมาคม และทำให้ผู้เล่นฟุตบอลต้องเล่นตามกฎและกติกาของสมาคมฟุตบอล จนเวลาผ่านไปจากคำว่า Association ก็ย่อเป็น Assoc และกลายเป็น Soccer ขึ้นในที่สุด ซึ่งนิยมเรียกกันในประเทศอังกฤษ แต่ชาวอเมริกันเรียกว่า Football หมายถึง American football
ภายนอกเกาะอังกฤษ พวกกะลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า วิศวกร หรือแม้แต่นักบวชได้นำกีฬาชนิดนี้
ไปเผยแพร่ ประเทศเดนมาร์กเป็นประเทศที่ 2 ในยุโรป
ในอเมริกาใต้ สโมสรแรกได้ถูกตั้งขึ้นในประเทศอาร์เจนตินา เมื่อพี่น้องชาวอังกฤษ 2 คน ได้ลงข้อความโฆษณาในหนังสือพิมพ์ของเมืองบูเอโนสไอเรส (Buenos Aires) เพื่อ หาผู้อาสาสมัคร
ในปี พ.ศ. 2427 กีฬาฟุตบอลก็กลายมาเป็นวิชาหนึ่งในโรงเรียนของเมืองบูเอโนสไอเรส การแข่งขันระดับชาติครั้งแรกในทวีปอเมริกาใต้ คือ การแข่งขันระหว่างอาร์เจนตินากับอุรุกวัย ในปี พ.ศ.2448 แต่อเมริกาเหนือเริ่มแข่งขันเมื่อปี พ.ศ. 2435
ในอิตาลี ฮาร์ปาสตัมเป็นต้นกำเนิดจิโอโค เดล คาลซิโอ ผู้เล่นกีฬาจะเป็นผู้นำทางสังคม
หรือแม้แต่ผู้นำชั้นสูงของศาสนา เช่นสันตปาปา เกลาเมนต์ที่ 7 ลีออนที่ 10 และเออร์เบนที่ 7 เป็นถึงแชมเปี้ยนในกีฬาฟลอเรนไทน์ฟุตบอล ต่อมาชาวโรมันได้ดัดแปลงเกมการเล่นฮาร์ปาสตัมเสียใหม่ โดยกำหนดให้ใช้เท้าแตะลูกบอลเท่านั้น ส่วนมือให้ใช้เฉพาะการทุ่มลูกบอล ซึ่งนักรบชาวโรมัน นิยมเล่นกันมาก
กีฬาฮาร์ปาสตัมซึ่งมีต้นกำเนิดจากสมัยโรมันได้ถูกแปลงมาเป็นกีฬาซูลอหรือซูเลอ
กีฬาชนิดนี้เหมือนกับฮาร์ปาสตัม คือ นำลูกบอลกลับไปยังแดนของตน แต่สนามมีขนาดกว้างกว่ามาก
การเล่นซูเลอมักจะมีขึ้นในบ่ายวันอาทิตย์หลังการสวดมนต์เย็น จะมีการแข่งขันสำคัญในช่วงเวลาดีคาร์นิวาลกีฬาชนิดนี้เป็นที่นิยมมากในเขตปริตานีและมอร์ลังดี กีฬานี้ได้ถูกเผยแพร่ไปยังอังกฤษโดยผู้ติดตาม
ของวิลเลี่ยมผู้พิชิตภายหลัง การรบที่เฮสติ้ง (Hasting)
เมื่อ 900 ปีกว่ามาแล้ว ประเทศอังกฤษได้ตกอยู่ในความปกครองของพวกเคนส์ เชื้อสายโรมัน
ซึ่งยกกองทัพมาตีหมู่เกาะอังกฤษตอนใต้ และได้ปกครองเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 1589 อังกฤษเริ่มเข้มแข็งขึ้น และสามารถขับไล่พวกเคนส์ออกจากประเทศได้ หลังจากนั้น 2-3 ปี อังกฤษจึงเริ่มปรับปรุงประเทศเป็นการใหญ่ มีการขุดอุโมงค์ตามพื้นที่หลายแห่ง ซึ่งในการขุดอุโมงค์คนงานคนหนึ่งได้ขุดไปพบกะโหลกศีรษะใน บริเวณที่เคยเป็นสนามรบ และเป็นที่ฝังศพของพวกเคนส์มาก่อนทุกคนในที่นั้นแน่ใจว่าเป็นกะโหลกศีรษะ ของพวกเคนส์ อารมณ์แค้นจึงเกิดขึ้นทันทีเมื่อต่างคนต่างคิดถึงเหตุการณ์ที่ถูกพวกเคนส์กดขี่ทารุณจิตใจ คนอังกฤษในสมัยนั้นด้วยเหตุผลนี้ คนงานคนหนึ่งจึงเตะกะโหลกศีรษะนั้นทันที ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พากันหยุดงานชั่วคราว แล้วหันมาเตะกะโหลกศีรษะเป็นการใหญ่ เพื่อระบายอารมณ์แค้นที่เก็บไว้อย่างสนุกสนาน ผลที่สุดเมื่อพวกนี้หากะโหลกศีรษะเตะกันไม่ได้ก็เอาถุงลมของวัวมาทำเป็นลูกกลมขึ้นเตะแทนกะโหลกศีรษะ ปรากฏว่าเป็นที่รื่นเริงสนุกสนามกันมาก
ต่อมาชาวโรมันได้นำเกมนี้ไปเล่นในอังกฤษ จากนั้นชาวอังกฤษก็ได้ปรับปรุงวิธีการเล่น
เทคนิคการเล่น ตลอดจนกติกาให้เหมือนในสมัยปัจจุบัน คือเกมฟุตบอลที่ใช้เท้าเล่น แต่ในระยะแรกของการเล่นฟุตบอลจะเล่นกันเป็นกลุ่มๆ เฉพาะพวกคนธรรมดาเท่านั้น ไม่มีการจำกัดจำนวนผู้เล่น ประตูจะห่างกันเป็นไมล์ และใช้เวลาในการเล่นหลายชั่วโมง จะเป็นการเล่นระหว่างทหารใหม่ที่ถูกเกณฑ์ นักบวช คนที่แต่งงานแล้ว คนโสด และพวกพ่อค้า เกมชนิดได้กลายเป็นสิ่งฉลองในงานพิธีต่างๆ เช่น ในวันโชรพ ทิวส์เดย์ (Shrove Tuesday) จะมีฟุตบอลนัดสำคัญให้คนได้ชม เกมในสมัยนั้นจะเล่นกันอย่างรุนแรงและมีการบาดเจ็บกันมาก
ในวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 1857 พระเจ้าเอ๊ดเวิร์ดที่ 2 ได้ทรงออกพระราชกฤษฎีกา
เนื่องจากมีเสียงอึกทึกครึกโครมจาการวิ่งแย่งลูกบอล ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุมากมาย อันเป็นข้อห้ามของพระเจ้า โดยห้ามเล่นกีฬาดังกล่าว ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุก
ฟุตบอลได้เริ่มแข่งขันภายใต้กฎของสมาคมแห่งชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2412
ระหว่างทีมรัตเกอร์กับทีมบรินท์ตัน จากนั้นกิจการฟุตบอลได้เจริญขึ้นช้าๆ ในต่างจังหวัดจนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มีการตั้ง สมาคมฟุตบอลต่างจังหวัดขึ้นในปี พ.ศ. 2450 และมีการฝึกสอนในปี พ.ศ. 2484
ในทวีปเอเชีย อินเดียเป็นประเทศแรกที่เริ่มเล่นฟุตบอล ศาสตราจารย์จากวิทยาลัยกัลกัตตา
เป็นผู้นำสำเนากฎหมายการเล่นมาเผยแพร่ในปี พ.ศ. 2426 และในปี พ.ศ. 2435 ได้มีการแข่งขันชิงถ้วยรางวัลเป็นครั้งแรกในทวีปซึ่งยังไม่มีชื่อเสียงในด้านการเล่นฟุตบอล กีฬาชนิดนี้ก็ได้เริ่มมีการเล่นมาก่อนร่วมร้อยปีแล้ว เช่น สมาคมฟุตบอลแห่งนิวเซาท์เวลส์ ได้ถูกตั้งขึ้นในออสเตรเลีย ปี พ.ศ. 2425 และสมาคมฟุตบอลของนิวซีแลนด์ได้ถูกตั้งขึ้นหลังจากนั้น 9 ปี
ในแอฟริกา สมาคมระดับชาติแห่งแรกได้ถูกตั้งขึ้นในประเทศแอฟริกาใต้
แต่อียิปต์เป็นประเทศแรกที่มีการแข่งขันระดับชาติในปี พ.ศ. 2467 คือ 3 ปี หลังจากที่ได้ก่อตั้งสมาคมขึ้น และอียิปต์สามารถเอาชนะฮังการีได้ 3-0 ในกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส
การแข่งขันระดับชาติเป็นการแข่งขันระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2415 และในปีแรกของศตวรรษที่ 20 โดยประเทศยุโรปอื่นๆ อย่างไรก็ตามในปี พ.ศ. 2447 กลุ่มประเทศต่างๆ ในแถบนี้ได้ประชุมกันที่ปารีสเพื่อตั้งสมาคมฟุตบอลนานาชาติขึ้น ในครั้งแรกก่อนการจัดตั้งสหพันธ์ 20 วัน สเปนและเดนมาร์กไม่เคยร่วมการแข่งขันระดับชาติมาก่อน และ 3 ประเทศใน 7 ประเทศ
ที่เข้าร่วมประชุมยังไม่มีสมาคมฟุตบอลในชาติของตน แต่ฟีฟ่าก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยมา โดยมีสมาชิก 5 ชาติ ในปี พ.ศ. 2481 และ 73 ชาติ ในปี พ.ศ. 2493 และในปัจจุบันมีสมาชิกถึง 146 ประเทศ ที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมของฟีฟ่า ทำให้ฟีฟ่าเป็นองค์การกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
สมาพันธ์ประจำทวีปของสมาคมฟุตบอลแห่งแรกที่ตั้งขึ้นคือ Conmebol ซึ่งเป็นสมาพันธ์ของอเมริกาใต้ สมาพันธ์นี้ได้ถูกจัดขึ้นเพื่อจัดตั้งเพื่อจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศภายในทวีปอเมริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2460
เกือบครึ่งศตวรรษ ต่อมาเมื่การแข่งขันภายในทวีปได้แพร่หลายมากขึ้น จึงได้มีการจัดตั้งสมาพันธ์ในทวีปอื่นๆ ขึ้นอีกคือสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป ในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการจัดตั้งในทวีปเอเชีย และ 2 ปี ก่อนการจัดตั้งสมาคมฟุตบอลยุโรป ในปี พ.ศ. 2497 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลแห่งแอฟริกา (Concacaf)หรือสหพันธ์ฟุตบอลแห่งอเมริกากลาง อเมริกาเหนือ และแคริบเบี้ยน ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2504 และน้องใหม่ในวงการฟุตบอลโลกคือ สมาพันธ์ฟุตบอล แห่งโอเชียนเนีย (Oceannir) สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (Federation International Football Association FIFA)
ก่อตั้งขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ พ.ศ. 2447 โดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศฝรั่งเศส และประเทศที่เข้าร่วมก่อตั้ง 7 ประเทศคือ ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สเปน สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
สมาพันธ์ฟุตบอลที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
1. Africa (C.A.F.) เป็นเขตที่มีสมาชิกมากที่สุด ได้แก่ ประเทศแอลจีเรีย ตูนิเซีย แซร์ ไนจีเรีย และซูดาน เป็นต้น
2. America-North and Central Caribbean (Concacaf) ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก
คิวบา เอติ เอลซัลวาดอร์ กัวเตมาลา และฮอนดูรัส เป็นต้น
3. South America (Conmebol) ได้แก่ ประเทศเปรู บราซิล อุรุกวัย โบลิเวีย อาร์เจนตินา ชิลี เวเนซุเอลา
อีคิวเตอร์ และโคลัมเบีย เป็นต้น
4. Asia (A.F.C.)เป็นเขตที่มีสมาชิกรองจากแอฟริกา ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น
ฮ่องกง เลบานอน อิสราเอล อิหร่าน จอร์แดน และเนปาล เป็นต้น
5. Europe (U.E.F.A.) เป็นเขตที่มีการพัฒนามากที่สุด ได้แก่ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน
ฮังการี อิตาลี สกอตแลนด์ รัสเซีย สวีเดน สเปน และเนเธอร์แลนด์ เป็นต้น
6. Oceannir เป็นเขตที่มีสมาชิกน้อยที่สุดและเพิ่งจะได้รับการแบ่งแยก ได้แก่ ประเทศออสเตรเลีย
นิวซีแลนด์ ฟิจิ และปาปัวนิวกินี เป็นต้น ซึ่งประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิกต้องเสียค่าบำรุงเป็นรายปี ปีละ 300 ฟรังสวิสส์ หรือประมาณ 2,400 บาท สหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย ในทวีปเอเชียมีการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเอเชีย (A.F.C.) เพื่อดำเนินการด้านฟุตบอล ดังนี้
พ.ศ. 2495 มีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ โดยมีนักกีฬาและเจ้าหน้าที่
จากประเทศในเอเชียเข้ามาร่วมการแข่งขันด้วย จึงได้ปรึกษาหารือกันในการจัดตั้งสหพันธ์ฟุตบอลเอเชียขึ้น
พ.ศ. 2497 มีการแข่งขันเอเชียนเกมส์ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ก็ได้เริ่มตั้งคณะกรรมการจากชาติต่างๆ
ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิก 12 ประเทศ
พ.ศ. 2501 มีการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการประชุมเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก และมีประเทศเข้าร่วม
เป็นสมาชิกรวมเป็น 35 ประเทศ
พ.ศ. 2509 ฟีฟ่าได้มองเห็นความสำคัญของ A.F.C. จึงได้กำหนดให้มีเลขานุการประจำในเอเชีย
โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด รวมทั้งเงินเดือน และคนแรกที่ได้รับตำแหน่งคือ Khow Eve Turk
พ.ศ. 2517 ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ที่เตหะราน ประเทศอิหร่านได้มีการประชุมประเทศสมาชิก A.F.C.
และที่ประชุมได้ลงมติขับไล่อิสราเอล ออกจากสมาชิก และให้จีนแดงเข้าเป็นสมาชิกแทน ทั้งๆ ที่จีนแดงไม่ได้เป็นสมาชิกของฟีฟ่า นับว่าเป็นการสร้างเหตุการณ์ที่ประหลาดใจให้กับบุคคลทั่วไป เป็นอย่างมากทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง
พ.ศ. 2519 มีการประชุมกันที่ประเทศมาเลเซีย ปรากฏว่าประเทศสมาชิกได้ลงมติให้ขับไล่
ประเทศไต้หวันออกจากสมาชิก และให้รับจีนแดงเข้ามาเป็นสมาชิกแทน ทั้งๆ ที่ไต้หวัน เป็นประเทศที่ร่วมกันก่อตั้งสหพันธ์ขึ้นมา งานของสหพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย
1. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Asian Cup
2. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Asian Youth
3. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก
4. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม Pre-Olympic
5. ดำเนินการจัดการแข่งขันและควบคุม World Youth
6. ควบคุมการแข่งขัน Kings Cup, President Cup, Merdeka, Djakarta Cup
นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากฟีฟ่าจัดส่งวิทยากรมาช่วยดำเนินการ สรุปวิวัฒนาการของฟุตบอล
ก่อนคริสตกาล - อ้างถึงการเล่นเกมซึ่งเปรียบเสมือนต้นฉบับของกีฬาฟุตบอลที่เก่าแก่ที่
ได้มีการค้นพบจากการเขียนภาษาญี่ปุ่น-จีน และในสมัยวรรณคดีของกรีกและโรมัน
ยุคกลาง - ประวัติบันทึกการเล่นในเกาะอังกฤษ อิตาลี และฝรั่งเศส
ปี พ.ศ. 1857 - พระเจ้าเอ๊ดเวิร์ดที่ 3 ทรงออกพระราชกฤษฎีกาห้ามเล่นฟุตบอล
เพราะจะรบกวนการยิงธนู
ปี พ.ศ. 2104 - Richardo Custor อาจารย์สอนหนังสือชาวอังกฤษกล่าวถึงการเล่นว่า
ควรกำหนดไว้ในบทเรียนของเยาวชน โดยได้รับอิทธิพลจาการเล่นกาลซิโอในเมืองฟลอเร้นท์
ปี พ.ศ. 2123 -Riovanni Party ได้จัดพิมพ์กติการการเล่นคาลซิโอ
ปี พ.ศ. 2223 -ฟุตบอลในประเทศอังกฤษได้รับพระบรมราชานุเคราะห์จากพระเจ้าชาร์ลที่ 2
ปี พ.ศ. 2391 -ได้มีการเขียนกฎข้อบังคับเคมบริดจ์ขึ้นเป็นครั้งแรก
ปี พ.ศ. 2406 -ได้มีการก่อตั้งสมาคมฟุตบอลขึ้น
ปี พ.ศ. 2426 -สมาคมฟุตบอลจักรภพ 4 แห่ง ยอมรับองค์กรควบคุม และจัดตั้งกรรมการระหว่างชาติ
ปี พ.ศ. 2429 -สมาคมฟุตบอลเริ่มทำการฝึกเจ้าหน้าที่ที่จัดการแข่งขัน
ปี พ.ศ. 2431 -เริ่มเปิดการแข่งขันฟุตบอลลีก โดยยินยอมให้มีนักฟุตบอลอาชีพ
และเพิ่มอำนาจการควบคุมให้ผู้ตัดสิน
ปี พ.ศ. 2432 -สมาคมฟุตบอลส่งทีมไปแข่งขันในต่างประเทศ เช่น เยอรมันไปเยือนอังกฤษ
ปี พ.ศ. 2447 - ก่อตั้งฟีฟ่า ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่กรุงปารีส เมื่อ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2447
โดยสมาคมแห่งชาติคือ ฝรั่งเศส เบลเยียม เดนมาร์ก สเปน สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์
ปี พ.ศ. 2480 - 2481 -ข้อบังคับปัจจุบันเขียนขึ้นตามระบบใหม่ขององค์กรควบคุม
โดยใช้ข้อบังคับเก่ามาเป็นแนวทาง ประวัติฟุตบอลในประเทศไทย กีฬาฟุตบอลในประเทศไทย ได้มีการเล่นตั้งแต่สมัย "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสิทร์ เนื่องจากสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานยาเธอ และข้าราชบริพารไปศึกษาวิชาการด้านต่างๆ ที่ประเทศอังกฤษ และผู้ที่นำกีฬาฟุตบอลกลับมายังประเทศไทยเป็นคนแรกคือ "เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)" หรือ ที่ประชนชาวไทยมักเรียกชื่อสั้นๆว่า "ครูเทพ" ซึ่งท่านได้แต่งเพลงกราวกีฬาที่พร้อมไปด้วยเรื่องน้ำใจนักกีฬาอย่างแท้จริง เชื่อกันว่าเพลงกราวกีฬาที่ครูเทพแต่งไว้นี้จะต้องเป็น "เพลงอมตะ" และจะต้องคงอยู่คู่ฟ้าไทย
|
วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555
กังฟูทักษะป้องกันตัวของจีน และ การสกัดลับบนร่างกายคน
กังฟูทักษะป้องกันตัวของจีน
กังฟู (จีน:พินอิน: gōngfu) หรือ วูซู ( จีน: แบบจีน: พินอิน: wǔshù) เป็นศิลปะการต่อสู้ของจีน ในภาษาจีนกลางใช้คำว่า "วูซู" และเมื่อมีการแพร่ขยายออกไปกลายเป็น "กังฟู" ซึ่งเป็นตัวเลข การต่อสู้รูปแบบที่ได้มีการพัฒนากว่าหนึ่งศตวรรษในจีน รูปแบบการต่อสู้เหล่านี้มักจะแยกตามลักษณะทั่วไปที่ระบุว่าเป็น"กลุ่ม นิกาย ปาย หรือโรงเรียน" ผู้ชาย ในรูปแบบศิลปะการต่อสู้ ตัวอย่างของลักษณะดังกล่าวรวมถึงการออกกำลังกายที่เกี่ยวข้องกับการจำลองทางกายภาพของสัตว์หรือวิธีการฝึกอบรมแรงบันดาลใจจากปรัชญาจีน ศาสนา และตำนาน ลักษณะที่มุ่งเน้นของพลังงาน จัดการได้รับการระบุเป็นระบบภายใน ( nèijiāquán) ในขณะที่คนอื่นๆ มีสมาธิในการปรับปรุงและการออกกำลังกายกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือดและมีข้อความกำกับภายนอก สมาคมภูมิศาสตร์ดังเช่นในภาคเหนือ(ของจีน) ( běiquán) และภาคใต้(ของจีน)(nánquán) เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้การจัดหมวดหมู่
วิธีการสกัดจุด จุดลับ จุดอ่อน จุดตาย ของมนุษย์
จุด (Point) ตั้งอยู่บนของร่างกาย ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับเส้นทางเดินของพลัง และ โลหิต ที่วิ่งสู่อวัยวะภายใน จุดต่างๆเหล่านี้เปรียบเสมือนจุดพักของพลัง และ โลหิต ด้านการแพทย์จีน ถือว่า ในร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง5 คือ ดินทอง น้ำ ไม้ ไฟ แต่ละธาตุจะกำเนิดธาตุหนึ่งจากอีกธาตุหนึ่ง เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งน้อยไปหรือมากไป เรียกว่า ธาตุหย่อน และ ธาตุกำเริบ การแพทย์จีนได้เปรียบเทียบอวัยวะภายในไว้กับธาตุทั้ง5 ซึ่งมีเส้นทางพลัง และ โลหิตวิ่งเข้าสู่อวัยวะภายใน โดยมีจุดต่างๆเป็นตัวเชื่อมต่อให้พลังและโลหิตวิ่งสู่ส่วนต่างๆของอวัยวะภายใน เมื่อพลัง และโลหิตที่วิ่งเข้าสู่อวัยวะภายในไม่สมดุลกันโรคภัยไข้เจ็บก็จะเกิดขึ้น การรักษาผู้ป่วยทางเภสัช (ทางยา) เพื่อให้ภายในร่างกายเกิดความสมดุล หรือ การรักษาด้วยการฝังเข็ม เพื่อไปสกัด หรือกระตุ้นจุดเชื่อมต่างๆของเส้นทางพลัง และโลหิตให้วิ่งเข้าสู่อวัยวะภายในได้สมดุล
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว การตี ต่อยหรือ จี้สกัด เป็นการทำให้จุดเชื่อมตามเส้นทางพลังและโลหิตที่วิ่งเข้าสู่อวัยวะภายในเกิดความบอบช้ำ หากถูกตีสกัดจุดตามยามเวลา ทำให้ระบบการไหลเวียนของพลังและโลหิตถูกทดเวลาให้ไหลเข้าสู่อวัยวะภายในไม่สมดุล เป็นสาเหตุให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตที่ไหลสู่อวัยวะภายในนั้นๆไม่สะดวก เกิดการสะดุด หรือติดขัด เกิดการแปรปรวนจนเกิดอาการเจ็บป่วย และในที่สุดอาจถึงขั้นเสียชีวิต

การสกัดจุดในศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว เฮอลีชวน นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. การสกัดจุดแบบตามยามเวลา
2. การสกัดจุดแบบไม่ตามยามเวลา
ในบทนี้จะขอกล่าวถึงการสกัดจุดแบบไม่ตามยามเวลา ส่วนการสกัดจุดแบบตามยามเวลาจะขอกล่าวในบทต่อไป การสกัดจุดแบบไม่ตามยามเวลา คือ การสกัดจุดใหญ่แบบกว้างๆแต่มีผลโดยตรงต่ออวัยวะภายใน หมายถึงการตี หรือ ต่อยไปตามจุดที่ตั้งของอวัยวะภายในนั้นๆโดยตรง จุดใหญ่ (ต้าเสวีย) ทั่วร่างกายมี 36 จุด
การหาจุดใหญ่แบบกว้างๆในร่างกาย นักศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวชาวจีน นิยมหาด้วยการใช้มือคืบ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้คืบหา เริ่มต้นให้นิ้วชี้จดที่จุดสิ้นฮุ่ย (จุดกลางกระหม่อม) แล้วคืบต่อไปจนทั่วศีรษะ ใบหน้า ลำตัวทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง ให้นิ้วหัวแม่มือ และ นิ้วชี้เปรียบเหมือนวงเวียนกฎเกณฑ์มีอยู่ว่า จุดแต่ละจุดที่ต่อเนื่องกันจะต้องวัดได้หนึ่งคืบระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ รวมแล้วได้ 36 จุดใหญ่ ดังนี้
1. จุด สิ้นฮุ่ย (จุดกลางกระหม่อม)
2. ปี๋เหลียง (สันจมูก)
3. จุด จว่อไท่หยาง (ขมับซ้าย)
4. จุด อิ้วไท่หยาง (ขมับขวา)
5. โหวเอี้ยน (คอหอย,ลูกกระเดือก)
6. ซวิงจุง (กลางอก)
7. จว่อหยู่เสี้ย (ใต้ราวนมซ้าย)
8. อิ้วหยู่เสี้ย (ใต้ราวนมขวา)
9. จว่อเฉียนเสสั้ง (ชายโครงส่วนบนใต้รักแร้ ด้านซ้ายหน้า)
10. อิ้วเฉียนเสสั้ง (ชายโครงส่วนบนใต้รักแร้ ด้านขวาหน้า)
11. จุด จิวเหว่ย (ลิ้นปี่)
12. จว่อเฉียนเสจุง (ชายโครงส่วนกลาง ด้านซ้ายหน้า)
13. อิ้วเฉียนเสจุง (ชายโครงส่วนกลาง ด้านขวาหน้า)
14. ฉีจุง (บริเวณสะดือ)
15. จว่อเฉียนเสเสี้ย (ชายโครงล่าง ด้านซ้ายหน้า)
16. อิ้วเฉียนเสเสี้ย (ชายโครงล่าง ด้านขวาหน้า)
17. หยินเหมิน (บริเวณอวัยวะเพศ)
18. กังเหมิน (บริเวณทวารหนัก)

19. อุ่ยตี่กู๋ (กระดูกก้นกบ)
20. จุดหมิงเหมิน (ตรงกลางกระดูกสันหลังบริเวณเอว)
21. จว่อโห้วเสเสี้ย (ชายโครงล่าง ด้านซ้ายหลัง)
22. อิ้วโห้วเสเสี้ย (ชายโครงล่าง ด้านขวาหลัง)
23. จุดจี่จุง (ตรงกลางกระดูกสันหลังส่วนอกข้อที่10)
24. จว่อโห้วเสจุง (ชายโครงส่วนกลาง ด้านซ้ายหลัง)
25. อิ้วโห้วเสจุง (ชายโครงส่วนกลาง ด้านขวาหลัง)
26. จุดจื้อหยาง (ตรงกลางกระดูกสันหลังส่วนอกข้อที่7)
27. จว่อโห้วเสสั้ง (ชายโครงบน ด้านซ้ายหลัง)
28. อิ้วโห้วเสสั้ง (ชายโครงบน ด้านขวาหลัง)
29. จุดเซินจู้ (ตรงกลางกระดูกสันหลังส่วนอกข้อที่3)
30. จว่อเทียนจง (ตรงกลางร่องกระดูกสะบักด้านซ้าย)
31. อิ้วเทียนจง (ตรงกลางร่องกระดูกสะบักด้านขวา)
32. จว่อเจียนเว่ยอวี๋ (หัวไหล่ด้านหลังซ้าย)
33. อิ้วเจียนเว่ยอวี๋ (หัวไหล่ด้านหลังขวา)
34. จุดต้าจุย (กระดูกสันหลังส่วนคอข้อที่7)
35. จุดเอี่ยเหมิน (ท้ายทอยบริเวณตีนผมใต้กระดูกสันหลังส่วนคอข้อที่1)
36. จุดไป๋ฮุ่ย (บนยอดศีรษะตรงกลางด้านกลัง)

ทั้ง 36 จุดดังกล่าว เป็นการหาจุดแบบกว้างๆ ในบางตำแหน่งของจุดนี้ จำเป็นต้องใช้ชื่อจำเพาะ เนื่องจากเป็นบริเวณที่เรียกชื่อคล้ายกัน อาจทำให้สับสนได้ หากศึกษาจุดต่างๆเหล่านี้ให้รู้จริง จะเป็นประโยชน์แก่ด้านการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างมาก
กังฟู (จีน:พินอิน: gōngfu) หรือ วูซู ( จีน: แบบจีน: พินอิน: wǔshù) เป็นศิลปะการต่อสู้ของจีน ในภาษาจีนกลางใช้คำว่า "วูซู" และเมื่อมีการแพร่ขยายออกไปกลายเป็น "กังฟู" ซึ่งเป็นตัวเลข การต่อสู้รูปแบบที่ได้มีการพัฒนากว่าหนึ่งศตวรรษในจีน รูปแบบการต่อสู้เหล่านี้มักจะแยกตามลักษณะทั่วไปที่ระบุว่าเป็น"กลุ่ม นิกาย ปาย หรือโรงเรียน" ผู้ชาย ในรูปแบบศิลปะการต่อสู้ ตัวอย่างของลักษณะดังกล่าวรวมถึงการออกกำลังกายที่เกี่ยวข้องกับการจำลองทางกายภาพของสัตว์หรือวิธีการฝึกอบรมแรงบันดาลใจจากปรัชญาจีน ศาสนา และตำนาน ลักษณะที่มุ่งเน้นของพลังงาน จัดการได้รับการระบุเป็นระบบภายใน ( nèijiāquán) ในขณะที่คนอื่นๆ มีสมาธิในการปรับปรุงและการออกกำลังกายกล้ามเนื้อหัวใจและหลอดเลือดและมีข้อความกำกับภายนอก สมาคมภูมิศาสตร์ดังเช่นในภาคเหนือ(ของจีน) ( běiquán) และภาคใต้(ของจีน)(nánquán) เป็นอีกวิธีที่นิยมใช้การจัดหมวดหมู่
วิธีการสกัดจุด จุดลับ จุดอ่อน จุดตาย ของมนุษย์
จุด (Point) ตั้งอยู่บนของร่างกาย ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับเส้นทางเดินของพลัง และ โลหิต ที่วิ่งสู่อวัยวะภายใน จุดต่างๆเหล่านี้เปรียบเสมือนจุดพักของพลัง และ โลหิต ด้านการแพทย์จีน ถือว่า ในร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้ง5 คือ ดินทอง น้ำ ไม้ ไฟ แต่ละธาตุจะกำเนิดธาตุหนึ่งจากอีกธาตุหนึ่ง เมื่อธาตุใดธาตุหนึ่งน้อยไปหรือมากไป เรียกว่า ธาตุหย่อน และ ธาตุกำเริบ การแพทย์จีนได้เปรียบเทียบอวัยวะภายในไว้กับธาตุทั้ง5 ซึ่งมีเส้นทางพลัง และ โลหิตวิ่งเข้าสู่อวัยวะภายใน โดยมีจุดต่างๆเป็นตัวเชื่อมต่อให้พลังและโลหิตวิ่งสู่ส่วนต่างๆของอวัยวะภายใน เมื่อพลัง และโลหิตที่วิ่งเข้าสู่อวัยวะภายในไม่สมดุลกันโรคภัยไข้เจ็บก็จะเกิดขึ้น การรักษาผู้ป่วยทางเภสัช (ทางยา) เพื่อให้ภายในร่างกายเกิดความสมดุล หรือ การรักษาด้วยการฝังเข็ม เพื่อไปสกัด หรือกระตุ้นจุดเชื่อมต่างๆของเส้นทางพลัง และโลหิตให้วิ่งเข้าสู่อวัยวะภายในได้สมดุล
ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว การตี ต่อยหรือ จี้สกัด เป็นการทำให้จุดเชื่อมตามเส้นทางพลังและโลหิตที่วิ่งเข้าสู่อวัยวะภายในเกิดความบอบช้ำ หากถูกตีสกัดจุดตามยามเวลา ทำให้ระบบการไหลเวียนของพลังและโลหิตถูกทดเวลาให้ไหลเข้าสู่อวัยวะภายในไม่สมดุล เป็นสาเหตุให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตที่ไหลสู่อวัยวะภายในนั้นๆไม่สะดวก เกิดการสะดุด หรือติดขัด เกิดการแปรปรวนจนเกิดอาการเจ็บป่วย และในที่สุดอาจถึงขั้นเสียชีวิต
ภาพตัวอย่างจุดสกัด

การสกัดจุดในศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว เฮอลีชวน นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. การสกัดจุดแบบตามยามเวลา
2. การสกัดจุดแบบไม่ตามยามเวลา
ในบทนี้จะขอกล่าวถึงการสกัดจุดแบบไม่ตามยามเวลา ส่วนการสกัดจุดแบบตามยามเวลาจะขอกล่าวในบทต่อไป การสกัดจุดแบบไม่ตามยามเวลา คือ การสกัดจุดใหญ่แบบกว้างๆแต่มีผลโดยตรงต่ออวัยวะภายใน หมายถึงการตี หรือ ต่อยไปตามจุดที่ตั้งของอวัยวะภายในนั้นๆโดยตรง จุดใหญ่ (ต้าเสวีย) ทั่วร่างกายมี 36 จุด
การหาจุดใหญ่แบบกว้างๆในร่างกาย นักศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวชาวจีน นิยมหาด้วยการใช้มือคืบ โดยใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้คืบหา เริ่มต้นให้นิ้วชี้จดที่จุดสิ้นฮุ่ย (จุดกลางกระหม่อม) แล้วคืบต่อไปจนทั่วศีรษะ ใบหน้า ลำตัวทั้งด้านหน้า ด้านข้างและด้านหลัง ให้นิ้วหัวแม่มือ และ นิ้วชี้เปรียบเหมือนวงเวียนกฎเกณฑ์มีอยู่ว่า จุดแต่ละจุดที่ต่อเนื่องกันจะต้องวัดได้หนึ่งคืบระหว่างนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ รวมแล้วได้ 36 จุดใหญ่ ดังนี้
1. จุด สิ้นฮุ่ย (จุดกลางกระหม่อม)
2. ปี๋เหลียง (สันจมูก)
3. จุด จว่อไท่หยาง (ขมับซ้าย)
4. จุด อิ้วไท่หยาง (ขมับขวา)
5. โหวเอี้ยน (คอหอย,ลูกกระเดือก)
6. ซวิงจุง (กลางอก)
7. จว่อหยู่เสี้ย (ใต้ราวนมซ้าย)
8. อิ้วหยู่เสี้ย (ใต้ราวนมขวา)
9. จว่อเฉียนเสสั้ง (ชายโครงส่วนบนใต้รักแร้ ด้านซ้ายหน้า)
10. อิ้วเฉียนเสสั้ง (ชายโครงส่วนบนใต้รักแร้ ด้านขวาหน้า)
11. จุด จิวเหว่ย (ลิ้นปี่)
12. จว่อเฉียนเสจุง (ชายโครงส่วนกลาง ด้านซ้ายหน้า)
13. อิ้วเฉียนเสจุง (ชายโครงส่วนกลาง ด้านขวาหน้า)
14. ฉีจุง (บริเวณสะดือ)
15. จว่อเฉียนเสเสี้ย (ชายโครงล่าง ด้านซ้ายหน้า)
16. อิ้วเฉียนเสเสี้ย (ชายโครงล่าง ด้านขวาหน้า)
17. หยินเหมิน (บริเวณอวัยวะเพศ)
18. กังเหมิน (บริเวณทวารหนัก)

19. อุ่ยตี่กู๋ (กระดูกก้นกบ)
20. จุดหมิงเหมิน (ตรงกลางกระดูกสันหลังบริเวณเอว)
21. จว่อโห้วเสเสี้ย (ชายโครงล่าง ด้านซ้ายหลัง)
22. อิ้วโห้วเสเสี้ย (ชายโครงล่าง ด้านขวาหลัง)
23. จุดจี่จุง (ตรงกลางกระดูกสันหลังส่วนอกข้อที่10)
24. จว่อโห้วเสจุง (ชายโครงส่วนกลาง ด้านซ้ายหลัง)
25. อิ้วโห้วเสจุง (ชายโครงส่วนกลาง ด้านขวาหลัง)
26. จุดจื้อหยาง (ตรงกลางกระดูกสันหลังส่วนอกข้อที่7)
27. จว่อโห้วเสสั้ง (ชายโครงบน ด้านซ้ายหลัง)
28. อิ้วโห้วเสสั้ง (ชายโครงบน ด้านขวาหลัง)
29. จุดเซินจู้ (ตรงกลางกระดูกสันหลังส่วนอกข้อที่3)
30. จว่อเทียนจง (ตรงกลางร่องกระดูกสะบักด้านซ้าย)
31. อิ้วเทียนจง (ตรงกลางร่องกระดูกสะบักด้านขวา)
32. จว่อเจียนเว่ยอวี๋ (หัวไหล่ด้านหลังซ้าย)
33. อิ้วเจียนเว่ยอวี๋ (หัวไหล่ด้านหลังขวา)
34. จุดต้าจุย (กระดูกสันหลังส่วนคอข้อที่7)
35. จุดเอี่ยเหมิน (ท้ายทอยบริเวณตีนผมใต้กระดูกสันหลังส่วนคอข้อที่1)
36. จุดไป๋ฮุ่ย (บนยอดศีรษะตรงกลางด้านกลัง)

ทั้ง 36 จุดดังกล่าว เป็นการหาจุดแบบกว้างๆ ในบางตำแหน่งของจุดนี้ จำเป็นต้องใช้ชื่อจำเพาะ เนื่องจากเป็นบริเวณที่เรียกชื่อคล้ายกัน อาจทำให้สับสนได้ หากศึกษาจุดต่างๆเหล่านี้ให้รู้จริง จะเป็นประโยชน์แก่ด้านการต่อสู้ป้องกันตัวอย่างมาก
ประวัติบาสเกตบอล
ประวัติบาสเกตบอล
บาสเกตบอล (อังกฤษ: basketball) เป็นกีฬาชนิดหนึ่งซึ่งแบ่งผู้เล่นเป็น 2 ทีม แต่ละทีมประกอบด้วยผู้เล่น 5 คนพยายามทำคะแนนโดยการโยนลูกเข้าห่วงหรือตะกร้า (basket) ภายใต้กติกาการเล่นมาตรฐาน
ตั้งแต่ที่คิดค้นขึ้นในปี พ.ศ. 2434 (ค.ศ. 1891) โดยเจมส์ เนสมิท[1] บาสเกตบอลได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นกีฬาสากล กีฬานี้มีจุดเริ่มต้นจากในวายเอ็มซีเอ ลีกที่เกิดขึ้นในสมัยแรก ๆ เป็นระดับมหาวิทยาลัย ต่อมากลายเป็นกีฬาอาชีพ[ต้องการอ้างอิง] มีการจัดตั้งลีกเอ็นบีเอ (National Basketball Association, NBA) และเริ่มมีการแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกเมื่อ พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936)[1] ถึงแม้ว่าในระยะแรกยังเป็นกีฬาที่เล่นเฉพาะในสหรัฐอเมริกา กีฬาชนิดนี้แพร่ขยายไปสู่ระดับสากลด้วยความรวดเร็ว ปัจจุบันมีนักกีฬาและทีมที่มีชื่อเสียงตามที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
บาสเกตบอลเป็นกีฬาที่เล่นในร่มเป็นหลัก สนามที่ใช้เล่นมีขนาดค่อนข้างเล็ก คะแนนจะได้จากการโยนลูกเข้าห่วงจากด้านบน (ชู้ต, shoot) ทีมที่มีคะแนนมากกว่าในตอนจบเกมจะเป็นฝ่ายชนะ สามารถนำพาลูกโดยการกระเด้งกับพื้น (เลี้ยงลูก, dribble) หรือส่งลูกกันระหว่างเพื่อนร่วมทีม เกมจะห้ามการกระทบกระแทกที่ทำให้เป็นฝ่ายได้เปรียบ (ฟาวล์, foul) และมีกฎข้อบังคับเกี่ยวกับการครองบอล
เกมบาสเกตบอลมีการพัฒนาเทคนิคการเล่นต่าง ๆ เช่น การชู้ต การส่ง และ การเลี้ยงลูก รวมไปถึงตำแหน่งผู้เล่น (ซึ่งตามกฎแล้วไม่จำเป็นต้องมี) และตำแหน่งการยืนในเกมรุกและเกมรับ ผู้เล่นที่ตัวสูงถือเป็นข้อได้เปรียบ ถึงแม้ว่าในการเล่นแข่งขันจะควบคุมโดยกฎกติกา การเล่นรูปแบบอื่น ๆ สำหรับเล่นผ่อนคลายก็มีการคิดขึ้น บาสเกตบอลยังเป็นกีฬาที่คนนิยมดูอีกด้วย[3]
ยุคแรกของบาสเกตบอล
ความพิเศษอย่างหนึ่งของบาสเกตบอล คือถูกคิดขึ้นโดยคนเพียงคนเดียว ต่างจากกีฬาส่วนใหญ่ที่วิวัฒนาการมาจากกีฬาอีกชนิด ช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2434 ดร. เจมส์ ไนสมิท ครูสอนพละศึกษาชาวอเมริกันที่เกิดในแคนาดา และเป็นผู้ดูแลสถานที่ของวิทยาลัยแห่งหนึ่งของสมาคมวายเอ็มซีเอ (ปัจจุบันคือ วิทยาลัยสปริงฟิลด์) ในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ค้นหาเกมในร่มที่ช่วยให้คนมีกิจกรรมทำระหว่างฤดูหนาวในแถบนิวอิงแลนด์ ว่ากันว่า หลังจากเขาไตร่ตรองหากิจกรรมที่ไม่รุนแรงเกินไปและเหมาะสมกับโรงยิม เขาเขียนกฎพื้นฐานและตอกตะปูติดตะกร้าใส่ลูกพีชเข้ากับผนังโรงยิม[4] เกมแรกที่เล่นเป็นทางการเล่นในโรงยิมวายเอ็มซีเอในเดือนถัดมา คือเมื่อ 20 มกราคม พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1891) ในสมัยนั้น เล่นโดยใช้ผู้เล่นเก้าคน[5]สนามที่ใช้ก็มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของสนามเอ็นบีเอในปัจจุบัน ชื่อ บาสเกตบอล เป็นชื่อที่เสนอโดยนักเรียนคนหนึ่ง และก็เป็นชื่อที่นิยมมาตั้งแต่ตอนต้น เกมแพร่ขยายไปยังวายเอ็มซีเอที่อื่นทั่วสหรัฐอเมริกา ไม่นานนักก็มีเล่นกันทั่วประเทศ
แต่ที่น่าสนใจคือ ถึงแม้ว่าวายเอ็มซีเอจะเป็นผู้ที่พัฒนาและเผยแพร่เกมในตอนแรก ภายในหนึ่งทศวรรษสมาคมก็ไม่สนับสนุนกีฬานี้อีก เนื่องจากการเล่นที่รุนแรงและผู้ชมที่ไม่สุภาพ สมาคมกีฬาสมัครเล่นอื่นๆ มหาวิทยาลัย และทีมอาชีพก็เข้ามาแทนที่ ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สหภาพการกีฬาสมัครเล่น (Amateur Athletic Union) และ สมาคมการแข่งขันกีฬาระหว่างวิทยาลัย (Intercollegiate Athletic Association) (ซึ่งปัจจุบันคือเอ็นซีดับเบิลเอ, NCAA) ได้แข่งกันเพื่อจะเป็นผู้กำหนดกติกาของเกม
เดิมนั้นการเล่นบาสเกตบอลจะใช้ลูกฟุตบอล ลูกบอลที่ทำขึ้นสำหรับบาสเกตบอลโดยเฉพาะในตอนแรกมีสีน้ำตาล ช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1950 จึงเปลี่ยนมาใช้ลูกสีส้มเพื่อให้ผู้เล่นและผู้ชมมองเห็นลูกได้ง่ายขึ้น และก็ใช้ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ผู้ที่ริเริ่มใช้ลูกบาสเกตบอลสีส้มคือนาย โทนี ฮิงเคิล (Tony Hinkle) โค้ชมหาวิทยาลัยบัตเลอร์ (Butler University)
[แก้]ลีกระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา และลีกอื่น
ไนสมิทเป็นตัวตั้งตัวตีในการเริ่มบาสเกตบอลระดับมหาวิทยาลัย[ต้องการอ้างอิง] โดยเป็นโค้ชให้กับมหาวิทยาลัยแคนซัส (University of Kansas) เป็นเวลาหกปี ลีกระดับมหาวิทยาลัยถือกำเนิดในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 และเริ่มทัวร์นาเมนต์ที่ชื่อเอ็นไอที (National Invitation Tournament, NIT) ในนิวยอร์กเมื่อปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) ช่วง พ.ศ. 2491 ถึง 2494 บาสเกตบอลระดับมหาวิทยาลัยประสบปัญหานักกีฬาโดนซื้อเพื่อผลทางการพนัน[7] เนื่องจากกลุ่มคนที่โกงนี้เกี่ยวข้องกับเอ็นไอที ทำให้อีกทัวร์นาเมนต์ซึ่งเป็นของเอ็นซีเอเอ (NCAA) ขึ้นแซงเอ็นไอทีในแง่ความสำคัญ[ต้องการอ้างอิง] ปัจจุบันทัวร์นาเมนต์เอ็นซีดับเบิลเอ หรือที่นิยมเรียกกันว่า มาร์ชแมดเนส (March Madness ซึ่งแข่งในช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี) ถือเป็นรายการแข่งขันระดับต้นๆ ในสหรัฐเป็นรองแค่เพียงซูเปอร์โบลของกีฬาอเมริกันฟุตบอลและ เวิลด์ซีรีส์ของกีฬาเบสบอลเท่านั้น
ในคริสต์ทศวรรษ 1920 มีทีมบาสเกตบอลอาชีพเกิดขึ้นเป็นร้อยทีมตามเมืองต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ไม่มีการจัดระบบเกมอาชีพ เช่น นักกีฬาย้ายทีมไปมา ทีมแข่งกันในโรงเก็บอาวุธและโรงเต้นรำ มีลีกเกิดใหม่และล้มไป บางทีมเล่นถึงสองร้อยเกมในปีหนึ่งก็มี[ต้องการอ้างอิง]
ส่วนระดับไฮสกูล (มัธยมปลาย) ของสหรัฐก็เป็นที่นิยมเช่นเดียวกัน ปัจจุบันเกือบทุกโรงเรียนจะมีทีมบาสเกตบอลประจำโรงเรียน ในฤดูกาล ทั่วทั้งสหรัฐมีนักเรียนชายหญิงรวมกันถึง 1,002,797 คนเล่นเป็นตัวแทนในการแข่งขันระหว่างโรงเรียน[ต้องการอ้างอิง] รัฐอินดีแอนาและเคนทักกีเป็นสองรัฐที่คนให้
เอ็นบีเอ
ในปี พ.ศ. 2489 ถือกำเนิดลีกเอ็นบีเอ (National Basketball Association, NBA) ก่อตั้งโดยรวบรวมทีมอาชีพชั้นนำ[ต้องการอ้างอิง] และทำให้กีฬาบาสเกตบอลระดับอาชีพได้รับความนิยมสูงขึ้น ปี พ.ศ. 2510 มีการจัดตั้งลีกเอบีเอ (American Basketball Association, ABA) ขึ้นอีกลีกมาเป็นคู่แข่งอยู่พักหนึ่ง[ต้องการอ้างอิง] ก่อนที่ลีกทั้งสองก็ควบรวมกันในปี พ.ศ. 2519[ต้องการอ้างอิง]
ในเอ็นบีเอมีผู้เล่นมีชื่อเสียงหลายคน เช่น จอร์จ มิคาน (George Mikan) ผู้เล่นร่างใหญ่ที่โดดเด่นคนแรก บอบ คอสี (Bob Cousy) ผู้มีทักษะการครองบอล บิล รัสเซล (Bill Russell) ผู้ที่เก่งด้านการตั้งรับ วิลท์ แชมเบอร์เลน (Wilt Chamberlain) รวมถึง ออสการ์ รอเบิร์ตสัน (Oscar Robertson) และ เจอร์รี เวสต์(Jerry West) ผู้ที่เก่งในรอบด้าน คารีม อับดุล-จับบาร์ (Kareem Abdul-Jabbar) และ บิล วอลตัน (Bill Walton) ผู้เล่นร่างยักษ์ในยุคหลัง จอห์น สต็อกตัน (John Stockton) ผู้ที่มีทักษะการคุมเกม ตลอดจนผู้เล่นสามคนที่ทำให้เอ็นบีเอได้รับความนิยมจนถึงขีดสุด คือ แลร์รี เบิร์ด (Larry Bird) แมจิก จอห์นสัน(Magic Johnson) และ ไมเคิล จอร์แดน (Michael Jordan)
ลีกดับเบิ้ลยูเอ็นบีเอ (Women's National Basketball Association, WNBA) สำหรับบาสเกตบอลหญิงเริ่มเล่นในปี พ.ศ. 2540[ต้องการอ้างอิง] ถึงแม้ว่าในฤดูกาลแรกจะไม่ค่อยมั่นคงนัก นักกีฬามีชื่อหลายคน เช่น เชอริล สวูปส์ (Sheryl Swoopes) , ลิซา เลสลี (Lisa Leslie) และ ซู เบิร์ด (Sue Bird) ช่วยเพิ่มความนิยมและระดับการแข่งขันของลีก ลีกบาสเกตบอลหญิงอื่นๆ ล้มไปเนื่องจากความสำเร็จของดับเบิ้ลยูเอ็นบีเอ[ต้องการอ้างอิง]
[แก้]บาสเกตบอลระดับสากล
สหพันธ์บาสเกตบอลนานาชาติ (International Basketball Federation) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มีสมาชิกก่อตั้งแปดชาติ ได้แก่ อาร์เจนตินา เชคโกสโลวาเกีย กรีซ อิตาลี ลัตเวีย โปรตุเกส โรมาเนีย และสวิตเซอร์แลนด์ ในสมัยนั้นหน่วยงานดูแลเฉพาะนักกีฬาสมัครเล่น ดังนั้นในชื่อย่อจากภาษาฝรั่งเศสของสหพันธ์ หรือ ฟีบา (FIBA) ตัวอักษร "A" ย่อมาจากคำว่า "amateur" ซึ่งแปลว่าสมัครเล่น
บาสเกตบอลถูกบรรจุในกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2479 ถึงแม้ว่าเคยจัดการแข่งขันเป็นกีฬาสาธิตก่อนหน้านั้นนานมากเมื่อ พ.ศ. 2447 สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศที่เก่งกีฬานี้ และทีมชาติสหรัฐพลาดเหรียญทองเพียงสามครั้งเท่านั้น โดยครั้งแรกที่พลาดแข่งที่มิวนิกในปี พ.ศ. 2515 โดยแพ้ให้กับทีมสหภาพโซเวียต การแข่งขันเวิลด์แชมเปียนชิปส์ (World Championships) สำหรับบาสเกตบอลชายเริ่มแข่งปี พ.ศ. 2493 ที่ประเทศอาร์เจนตินา ส่วนประเภทหญิงเริ่มแข่งสามปีถัดมาในประเทศชิลี กีฬาบาสเกตบอลหญิงเริ่มแข่งในโอลิมปิกปี พ.ศ. 2519 โดยมีทีมที่โดดเด่นเช่น บราซิล ออสเตรเลีย และ สหรัฐอเมริกา
ฟีบา ยกเลิกการแบ่งผู้เล่นเป็นสมัครเล่นและอาชีพเมื่อ พ.ศ. 2532 และปี พ.ศ. 2535 ผู้เล่นอาชีพก็ได้แข่งในกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งแรก ความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกากลับมาอีกครั้งโดยการส่งดรีมทีม ที่ประกอบด้วยผู้เล่นจากเอ็นบีเอ แต่ปัจจุบันประเทศอื่นสามารถพัฒนาตามทันสหรัฐอเมริกา ทีมที่มีผู้เล่นเอ็นบีเอล้วนๆ ได้ที่หกในการแข่งเวิลด์แชมเปียนชิปส์ในปี พ.ศ. 2545 ที่เมืองอินดีอานาโปลิส ตามหลัง เซอร์เบียและมอนเตเนโกร อาร์เจนตินาเยอรมนี นิวซีแลนด์ และ สเปน ในโอลิมปิกปี พ.ศ. 2547 สหรัฐแพ้เป็นครั้งแรกนับจากที่เริ่มใช้ผู้เล่นอาชีพ โดยพ่ายให้กับทีมชาติเปอร์โตริโก และสุดท้ายได้เป็นอันดับสาม รองจากอาร์เจนตินา และอิตาลี
ปัจจุบัน มีการแข่งขันทัวร์นาเมนต์บาสเกตบอลทั่วโลกในทุกระดับอายุ ตั้งแต่ห้าจนถึงหกสิบปี ระดับไฮสกูล (มัธยมปลาย) มหาวิทยาลัย ไปจนถึงระดับลีกอาชีพ และมีแข่งทั้งประเภทชายและหญิง
ความนิยมกีฬาชนิดนี้ทั่วโลกสังเกตได้จากสัญชาติของผู้เล่นในเอ็นบีเอ จะสามารถพบนักกีฬาจากทั่วทุกมุมโลก สตีฟ แนช (Steve Nash) ผู้ที่ได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าในเอ็นบีเอปี พ.ศ. 2548 เป็นชาวแคนาดาที่เกิดที่ประเทศแอฟริกาใต้ ดาราดังของทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ เดิร์ก โนวิตสกี (Dirk Nowitzki) ก็เกิดในประเทศเยอรมนีและเล่นให้กับทีมชาติเยอรมนี
อีกตัวอย่างซึ่งแสดงให้เห็นการพัฒนาถึงระดับโลก คือทีมออลทัวร์นาเมนต์ ซึ่งประกอบด้วยผู้เล่นยอดเยี่ยมจากการแข่งเวิลด์แชมเปียนชิปส์ปี พ.ศ. 2545 ได้แก่ เดิร์ก โนวิตสกี, เพยา สโตยาโควิช (Peja Stojakovic) จากเซอร์เบียและมอนเตเนโกร, มานู จิโนบิลี (Manu Ginobili) จากอาร์เจนตินา,เหยา หมิง (Yao Ming) จากจีน และ เพโร คาเมรอน (Pero Cameron) จากนิวซีแลนด์ ทุกคนยกเว้นคาเมรอนเป็นหรือจะเป็นผู้เล่นในเอ็นบีเอในเวลาต่อมา
กฎและกติกา
กฎเกี่ยวกับขนาดและเวลาที่ใช้แข่ง อาจแตกต่างกันขึ้นกับทัวร์นาเมนต์หรือองค์กรที่จัดการแข่งขัน รายละเอียดในส่วนนี้จะใช้ของสากลและเอ็นบีเอเป็นหลัก
จุดมุ่งหมายของเกมคือ การทำคะแนนให้ได้มากกว่าคู่แข่งโดยการโยนลูกเข้าห่วงของคู่ต่อสู้จากด้านบน ในขณะที่ป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู่โยนลูกลงห่วงของฝ่ายตน การโยนลูกในลักษณะนี้เรียกว่าการชู้ต (หรือช็อต shot) การชู้ตที่เข้าห่วงจะได้สองคะแนน แต่ถ้าผู้ชู้ตอยู่เลยเส้นสามคะแนนออกไปในขณะชู้ตลูกก็จะได้สามคะแนน เส้นสามคะแนนจะอยู่ห่างจากห่วงเป็นระยะ 6.75 เมตร (22 ฟุต 1 3/4 นิ้ว) ในกติกาสากล และ 23 ฟุต 9 นิ้ว (7.24 เมตร) ในกติกาเอ็นบีเอ การชู้ตลูกโทษหรือที่เรียกว่า ฟรีโทรว์ (free throw) เมื่อฟาวล์มีค่าหนึ่งคะแนน
[แก้]กติกาการเล่น
เกมจะแบ่งการเล่นเป็น 4 ควอเตอร์ (quarter) แต่ละควอเตอร์มี 10 นาที (สากล) หรือ 12 นาที (เอ็นบีเอ) ช่วงพักครึ่งนาน 15 นาที ส่วนพักอื่นๆ ยาว 2 นาที ช่วงต่อเวลา (overtime) ยาว 5 นาที ทีมจะสลับด้านสนามเมื่อเริ่มครึ่งหลัง เวลาจะเดินเฉพาะระหว่างที่เล่น และนาฬิกาจะหยุดเดินเมื่อเกมหยุด เช่น เมื่อเกิดการฟาวล์ หรือระหว่างการชู้ตลูกโทษ เป็นต้น ดังนั้นเวลาทั้งหมดที่ใช้แข่งมักยาวกว่านี้มาก (ประมาณสองชั่วโมง)
ในขณะใดขณะหนึ่งจะมีผู้เล่นในสนามฝ่ายละห้าคน และจะมีผู้เล่นสำรองสูงสุดทีมละเจ็ดคน สามารถเปลี่ยนตัวได้ไม่จำกัดและเปลี่ยนได้เฉพาะเมื่อเกมหยุด ทีมยังมีโค้ชที่ดูแลทีมและวางกลยุทธ์ในการเล่น รวมถึงผู้ช่วยโค้ช ผู้จัดการทีม นักสถิติ แพทย์ และเทรนเนอร์
เครื่องแบบนักกีฬาสำหรับทีมชายและหญิงตามมาตรฐานได้แก่ กางเกงขาสั้นและเสื้อกล้ามที่มีหมายเลขผู้เล่นชัดเจนพิมพ์ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รองเท้าเป็นรองเท้ากีฬาหุ้มข้อเท้า อาจมีชื่อทีม ชื่อนักกีฬา และสปอนเซอร์ ปรากฏบนชุดด้วยก็ได้
แต่ละทีมจะได้เวลานอกจำนวนหนึ่งสำหรับให้โค้ชและผู้เล่นปรึกษากัน มักยาวไม่เกินหนึ่งนาที ยกเว้นเมื่อต้องการโฆษณาระหว่างการถ่ายทอดสด
เกมควบคุมโดยกรรมการและหัวหน้ากรรมการผู้ตัดสินในสนาม และกรรมการโต๊ะ กรรมการโต๊ะมีหน้าที่บันทึกคะแนน ควบคุมเวลา บันทึกจำนวนฟาล์วผู้เล่นและฟาล์วทีม ดูเรื่องการเปลี่ยนตัว โพเซสซันแอร์โรว์ และช็อตคล็อก
[แก้]อุปกรณ์การเล่น
อุปกรณ์ที่จำเป็นจริง ๆ ในกีฬาบาสเกตบอลมีเพียงลูกบอลและสนามที่มีห่วงติดอยู่ที่ปลายทั้งสองด้าน การเล่นในระดับแข่งขันต้องใช้อุปกรณ์อื่น เช่น นาฬิกา กระดาษบันทึกคะแนน สกอร์บอร์ด โพเซสซันแอร์โรว์ ระบบหยุดนาฬิกาด้วยนกหวีด เป็นต้น
ลูกบาสเกตบอลชายมีเส้นรอบวงประมาณ 30 นิ้ว (76 เซนติเมตร) และหนักประมาณ 1 ปอนด์ 5 ออนส์ (600 กรัม) ลูกบาสเกตบอลหญิงมีเส้นรอบวงประมาณ 29 นิ้ว (73 ซม.) และหนักประมาณ 1 ปอนด์ 3 ออนส์ (540 กรัม) สนามบาสเกตบอลมาตรฐานในเกมสากลมีขนาด 28 คูณ 15 เมตร (ประมาณ 92 คูณ 49 ฟุต) ส่วนในเอ็นบีเอมีขนาด 94 คูณ 50 ฟุต (29 คูณ 15 เมตร) พื้นสนามส่วนใหญ่ทำด้วยไม้
ห่วงที่ทำจากเหล็กหล่อ พร้อมทั้งเน็ต และแป้น ติดอยู่ที่ปลายทั้งสองด้านของสนาม ในการแข่งขันเกือนทุกระดับ ขอบห่วงด้านบนอยู่สูงจากพื้น 10 ฟุต (3.05 เมตร) พอดีและถัดเข้ามาจากเส้นหลัง 4 ฟุต (1.2 เมตร) ถึงแม้ว่าขนาดของสนามและแป้นอาจแตกต่างกันออกไป แต่ความสูงของห่วงถือว่าสำคัญมาก ถึงตำแหน่งจะคลาดเคลื่อนไปไม่เพียงกี่นิ้วก็มีผลต่อการชู้ตอย่างมาก
[แก้]ข้อบังคับ
ลูกสามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเข้าหาห่วงโดยการชู้ต การส่งระหว่างผู้เล่น การขว้าง การเคาะลูก การกลิ้งลูก หรือ การเลี้ยงลูก (โดยการให้ลูกกระเด้งกับพื้นขณะวิ่ง ภาษาอังกฤษเรียก ดริบบลิง, dribbling)
ลูกจะต้องอยู่ในสนาม ทีมสุดท้ายที่สัมผัสลูกก่อนที่ลูกจะออกนอกสนามจะสูญเสียการครองบอล ผู้เล่นห้ามขยับขาทั้งสองพร้อมกันในขณะเลี้ยงลูก (เรียกว่า แทรเวลลิง, travelling) เลี้ยงลูกพร้อมกันทั้งสองมือ หรือเลื้ยงลูกแล้วจับลูกแล้วเลี้ยงลูกต่อ (เรียกว่า ดับเบิล-ดริบบลิง, double-dribbling) เวลาเลี้ยงมือของผู้เล่นต้องอยู่ด้านบนของลูก มิฉะนั้นจะนับว่า ถือลูก (carrying) ถ้าทีมพาลูกไปยังแดนของฝ่ายตรงข้ามของสนาม (frontcourt) แล้ว ห้ามนำลูกกลับเข้าแดนตนเอง (backcourt) อีก ห้ามเตะหรือชกลูก ถ้าทำผิดกฎข้อห้ามเหล่านี้จะเสียการครองบอล อีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายได้ลูกไปเล่น แต่ถ้าฝ่ายรับทำผิดกฎฝ่ายที่ครองบอลจะได้เริ่มช็อตคล็อกใหม่
ผู้เล่นจะต้องนำลูกจากแดนตัวเองข้ามเข้าแดนตรงข้ามภายในเวลาที่กำหนด (8 วินาทีทั้งในกติกาสากลและเอ็นบีเอ) ต้องชู้ตภายในเวลา 24 วินาที ถือลูกขณะที่ถูกยืนคุมโดยฝ่ายตรงข้ามไม่เกิน 5 วินาที อยู่ในบริเวณใต้แป้นไม่เกิน 3 วินาที กฎเหล่านี้มีไว้เป็นรางวัลแก่การตั้งรับที่ดี
ห้ามผู้เล่นรบกวนห่วง หรือ ลูกขณะเคลื่อนที่คล้อยลงมายังห่วง หรือ ขณะอยู่บนห่วง (ในเอ็นบีเอ ยังรวมกรณีลูกอยู่เหนือห่วงพอดี) การฝ่าฝืนข้อห้ามนี้เรียก โกลเทนดิง (goaltending) ถ้าฝ่ายรับทำผิด จะถือว่าการชู้ตสำเร็จและอีกฝ่ายได้คะแนน แต่ถ้าฝ่ายรุกทำผิด จะไม่คิดคะแนนการชู้ตนี้ และเสียการครองบอล
[แก้]ฟาวล์
การเล่นที่กระทบกระทั่งผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามให้อีกฝ่ายเสียเปรียบและไม่เป็นธรรม ถือเป็นข้อห้ามที่ถ้าฝ่าฝืนจะนับเป็น ฟาวล์ (foul) ผู้เล่นตั้งรับมักจะเป็นคนทำฟาวล์แต่ผู้เล่นฝ่ายรุกก็สามารถทำฟาวล์ได้เช่นเดียวกัน คนที่ถูกฟาวล์จะได้ส่งลูกจากข้างสนาม (inbound) เพื่อเล่นต่อ หรือได้ชู้ตลูกโทษ หรือ ฟรีโทรว์ (free throw) ถ้าการฟาวล์เกิดขึ้นขณะกำลังชู้ตลูก การชู้ตลูกโทษลงห่วงครั้งหนึ่งจะได้หนึ่งคะแนน ผู้เล่นจะได้ชู้ตลูกโทษหนึ่งกี่ครั้งขึ้นกับว่าลูกที่ผู้เล่นชู้ตตอนถูกฟาวล์นั้นได้แต้มหรือไม่ เวลาชู้ตลูกโทษผู้เล่นต้องยืนหลังเส้นลูกโทษซึ่งห่างจากห่วง 4.5 เมตร (15 ฟุต)
การที่จะมีฟาวล์หรือไม่อยู่วิจารณญาณของกรรมการผู้ตัดสิน ว่าผู้เล่นเกิดการได้เปรียบในการเล่นอย่างขาวสะอาดหรือไม่ ทำให้บางครั้งมีความเห็นขัดแย้งกับการเรียกฟาวล์ของกรรมการ การกระทบกระทั่งในกีฬาบาสเกตบอลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และการเรียกฟาวล์อาจแตกต่างกันในแต่ละเกม ลีก หรือแม้กระทั่งกรรมการตัดสินแต่ละคน
ผู้เล่นหรือโค้ชซึ่งแสดงน้ำใจนักกีฬาที่แย่ เช่น เถียงกับกรรมการ หรือ ชกกับผู้เล่นอื่น อาจโดนเทคนิคัลฟาวล์ หรือ ฟาวล์เทคนิค (technical foul) ซึ่งถูกลงโทษโดยให้อีกทีมได้ชู้ตลูกโทษ (รายละเอียดขึ้นอยู่กับลีก) ถ้าเกิดเหตุการณ์ซ้ำก็อาจถูกไล่ออกจากสนามได้ ฟาวล์ที่เกิดจากการเล่นที่รุนแรงเกินไป จะเรียกว่าฟาวล์ขาดน้ำใจนักกีฬา หรือ ฟาวล์รุนแรง (unsportsmanlike foul ในสากลหรือ flagrant foul ในเอ็นบีเอ) ก็จะได้รับโทษที่สูงขึ้นกว่าฟาวล์ธรรมดา บางครั้งอาจถูกให้ออกจากสนามด้วย
ถ้าทีมทำฟาวล์เกินกว่าที่กำหนด (ในหนึ่งควาเตอร์ หรือ ในครึ่งเกม) ซึ่งก็คือ สี่ครั้งสำหรับกติกาสากลและเอ็นบีเอ ทีมตรงข้ามสามารถชู้ตลูกโทษสำหรับการฟาวล์ที่จะเกิดขึ้นในครั้งต่อๆ ไป จากนั้นจนกว่าจะจบช่วง ไม่ว่าการฟาวล์จะเกิดขึ้นขณะกำลังชู้ตลูกหรือไม่ (รายละเอียดขึ้นอยู่กับลีก) ถ้าผู้เล่นฟาวล์รวมห้าครั้งนับเทคนิคัลฟาวล์ด้วย (บางลีก รวมถือเอ็นบีเอ ยอมให้ฟาวล์ได้หกครั้ง) ผู้เล่นนั้นไม่สามารถเล่นในเกมได้อีก เรียกว่าฟาวล์เอาท์ (foul out)
[แก้]เทคนิคพื้นฐาน
[แก้]ตำแหน่งผู้เล่นและโครงสร้าง
ถึงแม้ว่าในกฎจะไม่กำหนดตำแหน่งใด ๆ ของผู้เล่น แต่เรื่องนี้มีวิวัฒนาการจนเป็นส่วนหนึ่งของบาสเกตบอล ในช่วงห้าสิบปีแรกของเกม จะใช้ การ์ดสองคน ฟอร์เวิร์ดสองคน และเซ็นเตอร์หนึ่งคนในการเล่น ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา มีการแบ่งชัดเจนขึ้นเป็น พอยท์การ์ด(หรือการ์ดจ่าย) ชู้ตติ้งการ์ด สมอลฟอร์เวิร์ด เพาเวอร์ฟอร์เวิร์ด และ เซ็นเตอร์ ในบางครั้งทีมอาจเลือกใช้ การ์ดสามคน แทนฟอร์เวิร์ดหรือเซ็ตเตอร์คนหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า three guard offense
การเล่นตั้งรับ มีหลักการแตกต่างกันสองรูปแบบ คือ ตั้งรับแบบโซน (zone defense) และ แบบแมน-ทู-แมน (man-to-man defense) การตั้งรับแบบโซน ผู้เล่นจะยืนคุมผู้เล่นฝ่ายบุกที่อยู่ในโซนที่ตัวเองรับผิดชอบ ส่วนแบบ แมน-ทู-แมน นั้น ผู้เล่นฝ่ายรับแต่ละคนจะยืนคุมและป้องกันผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามที่โค้ชวางแผนการเล่นเอาไว้
ส่วนการเล่นบุกทำคะแนนมีหลากหลายกว่า เกี่ยวข้องกับแผนการส่งลูก และการเคลื่อนไหวของผู้เล่นที่ไม่ถือลูก การคัท (cut) หรือวิ่งตัด คือการที่ผู้เล่นที่ไม่มีลูกวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังตำแหน่งที่ได้เปรียบ การสกรีน (screen) หรือ พิก (pick) คือการที่ผู้เล่นฝ่ายบุกยืนขวางทางผู้เล่นฝ่ายรับที่ประกบเพื่อนร่วมทีมในขณะที่เพื่อนร่วมทีมนั้นวิ่งตัดข้างๆ เขา การเล่นสองแบบนี้สามารถรวมเข้าเป็นพิกแอนด์โรล (pick and roll) โดยที่ผู้เล่นคนแรกทำพิกจากนั้นก็หมุนตัววิ่งเข้าหาห่วง (ซึ่งเรียกว่าโรล) สกรีน และ คัท เป็นส่วนสำคัญของการเล่น ทำให้ส่งลูกและทำคะแนนได้สำเร็จ ทีมมักมีแผนการเล่นที่หลากหลายเพื่อให้อีกฝ่ายไม่สามารถคาดเดาการเล่นได้ ในสนามผู้เล่นตำแหน่งพอยท์การ์ดมักมีหน้าที่บอกแผนการเล่นที่จะใช้ให้กับเพื่อนร่วมทีม
โครงสร้างของการตั้งรับ การบุก และตำแหน่งการเล่น ถูกเน้นในการเล่นบาสเกตบอลระดับสูง และเป็นสิ่งที่โค้ชจะขอเวลานอกเพื่อคุยกับลูกทีม
[แก้]การชู้ต
การชู้ตเพื่อทำคะแนนนั้น วิธีการจะแตกต่างกันไปขึ้นกับผู้เล่นและสถานการณ์ ที่จะอธิบายต่อไปนี้เป็นเทคนิกพื้นฐานที่ใช้มากที่สุด
ผู้เล่นเอาลูกไปพักบนปลายนิ้วมือข้างที่ถนัด ให้อยู่สูงกว่าศีรษะเล็กน้อย ส่วนมืออีกข้างประคองด้านข้างลูก จากนั้นก็ยืดแขนข้างที่พักลูกให้เหยียดตรงให้ลูกลอยออกจากปลายนิ้วในขณะที่บิดข้อมือลง ปกติมืออีกข้างประคองลูกเพื่อควบคุมทิศการชู้ตเท่านั้น ไม่มีส่วนในการให้แรงส่ง
ผู้เล่นมักชู้ตลูกให้ลูกหมุนแบบแบ็คสปิน (backspin) กล่าวคือหมุนย้อนไปข้างหลังขณะที่ลูกเคลื่อนที่ไปยังห่วง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกกระดอนออกจากห่วงหลังจากการกระทบ ผู้เล่นส่วนมากชู้ตไปยังห่วงตรง ๆ แต่ในบางครั้งผู้ชู้ตอาจต้องชู้ตให้กระดอนกับแป้นแทน
วิธีการชู้ตที่ใช้บ่อยสุด ได้แก่ เซ็ตช็อต (set shot) และ จัมพ์ช็อต (jump shot) เซ็ตช็อตคือการชู้ตขณะที่ทั้งสองเท้ายังอยู่ติดพื้น ใช้ในการชู้ตฟรีโทรว์ ส่วนจัมพ์ช็อต คือการชู้ตขณะที่กำลังกระโดดโดยปล่อยลูกขณะที่ตัวอยู่ตำแหน่งลอยตัวสูงสุด การชู้ตวิธีนี้ให้กำลังมากกว่าและชู้ตได้ไกล อีกทั้งสามารถกระโดดลอยตัวเหนือผู้เล่นที่ยืนตั้งรับได้ด้วย
ผู้เล่นที่ชู้ตเก่งนอกจากจะมีสัมผัส การทรงตัว ความกล้า และการฝึกฝนที่ดีแล้ว ยังต้องรู้จักเลือกโอกาสการชู้ตอีกด้วย ผู้เล่นระดับแนวหน้ามักชู้ตไม่พลาดเมื่อไม่มีผู้เล่นอื่นมาประกบ
[แก้]การส่งบอล
ในการส่งบอล (pass) ระหว่างผู้เล่น ผู้ส่งมักส่งในจังหวะที่ก้าวไปข้างหน้าเพื่อเพิ่มกำลังส่ง และอาศัยมือประคองในจังหวะที่ปล่อยลูกเพื่อช่วยเรื่องความแม่นยำ
การส่งพื้นฐานสุดแบบหนึ่งคือการส่งระดับอก (chest pass) โดยส่งโดยตรงจากอกของผู้ส่งลูกไปยังผู้รับลูก เป็นการส่งที่รวดเร็วที่สุด
การส่งอีกแบบคือแบบ bounce pass ผู้ส่งจะส่งจากระดับอก ให้ลูกบอลกระเด้งกับพื้นที่ระยะประมาณสองในสามจากผู้ส่ง ซึ่งลูกจะกระเด้งเข้าระดับอกของผู้รับพอดี มีประโยชน์เวลาที่มีผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามยืนอยู่ในจุดซึ่งอาจแย่งลูกได้หากส่งลูกธรรมดา
การส่งแบบ ข้ามหัว (overhead pass) สำหรับส่งข้ามผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม โดยจะส่งข้ามศีรษะของผู้ส่ง เล็งไปที่ระดับคางของผู้รับ
การส่งไม่จำเป็นต้องใช้กรณีที่ผู้เล่นอยู่ไกลกัน แต่อาจจะเป็นการยื่นลูกให้ผู้เล่นคนที่อยู่ข้าง ๆ ซึ่งกำลังเคลื่อนที่เข้าไปยังห่วงเพื่อทำคะแนนเป็นต้น
จุดสำคัญของการส่งลูกก็คือ จะต้องไม่ให้อีกฝ่ายแย่งหรือขโมยลูกไปได้ ด้วยเหตุนี้การส่งข้ามสนามไกล ๆ ที่เรียกว่าการส่งสกิป (skip pass) ถึงใช้กับแค่บางสถานการณ์เท่านั้น
[แก้]การเลี้ยงลูก
การเลี้ยงลูกเป็นบังคับให้ลูกกระเด้งกับพื้นตลอดเวลา ผู้เล่นไม่ใช้มือตบลูกแต่จะใช้มือดันลูกไปหาพื้นแทนเนื่องจากควบคุมลูกได้ดีกว่า
เมื่อต้องเลี้ยงลูกผ่านคู่ต่อสู้ ผู้เลี้ยงลูกควรเลี้ยงให้ลูกอยู่ห่างจากผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามมากสุด ดังนั้นผู้เล่นจำเป็นต้องเลี้ยงลูกได้ทั้งสองมือ ด้วยการสลับมือเลี้ยงลูกผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามก็เอื้อมมือถึงลูกได้ยากขึ้น และระหว่างที่สลับมือจะต้องเลี้ยงลูกให้ต่ำลงป้องกันการขโมยลูก ผู้เล่นอาจเปลี่ยนมือโดยเลี้ยงลูกลอดระหว่างขาหรือไขว้หลังก็ได้
ผู้เล่นที่ชำนาญสามารถเลี้ยงลูกได้โดยไม่ต้องมองลูก ซึ่งช่วยให้มองหาเพื่อนร่วมทีมหรือโอกาสการทำแต้ม และป้องกันการขโมยลูกจากผู้เล่นที่ยืนอยู่รอบ ๆ ได้
[แก้]ความสูงของผู้เล่น
ส่วนสูงของนักกีฬาถือเป็นข้อได้เปรียบในกีฬาบาสเกตบอล ในระดับอาชีพนักกีฬาชายส่วนใหญ่สูงเกิน 1.91 เมตร (6 ฟุต 3 นิ้ว) ส่วนนักกีฬาหญิงมักสูงเกิน 1.67 เมตร (5 ฟุต 6 นิ้ว) ผู้เล่นตำแหน่งการ์ดซึ่งใช้ทักษะการครองบอลเป็นสำคัญ มักจะเป็นผู้เล่นที่ตัวเล็กที่สุด แต่บางครั้งก็อาจสูงมากเช่นกัน ผู้เล่นตำแหน่งฟอร์เวิร์ดในระดับอาชีพของชายมักสูงถึง 2.1 เมตร (6 ฟุต 8 นิ้ว) หรือมากกว่านั้น เซ็นเตอร์มักสูงเกิน 2.16 เมตร (7 ฟุต 1 นิ้ว) ผู้เล่นที่สูงที่สุดเท่าที่เคยเล่นในเอ็นบีเอ ได้แก่ มานูต โบล (Manute Bol) และ จอร์จ มูเรซาน (Gheorghe Muresan) ซึ่งสูง 2.31 เมตร (7 ฟุต 7 นิ้ว)[8] ปัจจุบันผู้เล่นที่สูงที่สุดในเอ็นบีเอคือ เหยา หมิง สูง 2.29 เมตร (7 ฟุต 6 นิ้ว)
ผู้เล่นที่ตัวเตี้ยที่สุดที่เคยเล่นในเอ็นบีเอคือ มักซี โบกส์ (Muggsy Bogues) ซึ่งสูง 1.60 เมตร (5 ฟุต 3 นิ้ว)[9] ผู้เล่นตัวไม่สูงบางคนประสบความสำเร็จในการเล่นอาชีพ ตัวอย่างเช่น แอนโทนี เว็บบ์ หรือชื่อเล่น สปัด เว็บบ์ (Anthony "Spud" Webb) ซึ่งสูงเพียง 5 ฟุต 7 นิ้ว (1.7 เมตร) แต่สามารถกระโดดสูงถึง 42 นิ้ว (1.07 เมตร) ทำให้ดูสูงเมื่อกระโดด
[แก้]การเล่นรูปแบบอื่นๆ
บาสเกตบอลยังมีการดัดแปลงการเล่นเป็นรูปแบบอื่น ๆ โดยยังคงใช้ทักษะทางบาสเกตบอล ตลอดจนอุปกรณ์การเล่น (มักได้แก่ลูกบาสเกตบอล และห่วง) การเล่นบางรูปแบบก็เป็นการเพียงเปลี่ยนกฎอย่างผิวเผิน แต่บางอย่างก็ถือเป็นเกมคนละชนิดไปเลย ซึ่งเกมเหล่านี้มักเป็นการเล่นไม่เป็นทางการ โดยไม่มีกรรมการ และกฎข้อบังคับที่เข้มงวด
เกมที่น่าจะพบบ่อยสุด คือการเล่นแบบ ฮาล์ฟคอร์ต (half court game) โดยใช้สนามเพียงครึ่งเดียว เมื่อมีการเปลี่ยนการครองบอล จะต้องเคลียร์ลูก คือส่งลูกออกไปยังเส้นครึ่งสนามหรือนอกเส้นชู้ตสามคะแนนก่อนถึงจะเล่นต่อได้ การเล่นแบบนี้ใช้พละกำลังและความแกร่งน้อยกว่าเพราะไม่ต้องวิ่งตลอดความยาวสนาม การเล่นแบบนี้ยังเป็นการใช้สนามอย่างคุ้มค่าขึ้น เนื่องจากสนามบาสสนามหนึ่งสามารถเล่นพร้อมกันสองเกม เมื่อมีคนมาเล่นในสนามเป็นจำนวนมาก เจ้าของสนามอาจบังคับว่าต้องเล่นในลักษณะฮาล์ฟคอร์ต
คัดลอกจากวิกิพีเดียโดย วีรภัทร พัดเจริญ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)